Home » » A Moment in June ณ ขณะรัก

A Moment in June ณ ขณะรัก



ณ ขณะรัก

ชื่อภาษาอังกฤษ: A Moment in June

จะมีไหม…ที่หัวใจจะได้โอกาสอีกครั้ง


ถ้าคุณมี “โอกาสอีกครั้ง” กับ “ความรักที่เคยผิดพลาด”

คุณจะใช้ “ชั่วขณะแห่งโอกาส” นั้นเช่นไร

ดื่มด่ำ ล้ำลึก ซาบซึ้ง ตรึงอารมณ์

กับการค้นหาคำตอบ ณ ห้วงรัก

12 กุมภาพันธ์นี้

ให้ “หัวใจ” ได้รับโอกาสอีกครั้ง

เนื้อเรื่องย่อ: ปกรณ์ (ชาคริต แย้มนาม) พบว่าการใช้ชีวิตคู่กับ พล (นภัสกร มิตรเอม) ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ทั้งสองตกลงใจที่จะแยกกันสักพัก ขณะที่พลออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง ปกรณ์ก็คร่ำเคร่งกับงานกำกับละครเวทีที่เขารักด้วยหัวใจไม่เป็นสุขนัก กับความไม่แน่ใจในคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีกครั้งที่สถานีรถไฟ…

อรัญญา (เดือนเต็ม สาลิตุล) กำลังมุ่งหน้าไปหา กรุง (สุเชาว์ พงษ์วิไล) ผู้ชายที่เธอมั่นรักเขามาตลอด 30 ปี เธอมีคำถามมากมายที่จะถามเขา แต่เธอก็ไม่รู้ที่จะเริ่มต้นมันอย่างไรดี ขณะที่กรุงจมอยู่กับอดีตรักที่เคยผิดพลาด จนยากที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง…

ทางเดินแห่งรัก

เรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของคนหกคนผ่านหนึ่งบทเพลงที่ทำให้ทั้งหมดได้มาพบกัน กับโอกาสครั้งที่สองของความรักที่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของพวกเขาที่ดำเนินผ่านเหตุการณ์ 2 ห้วงเวลาแห่งปี 2515 และ 2542

“แม้ชีวิตคู่มันจะเดินต่อไปไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่รักกัน”

ปกรณ์ (ชาคริต แย้มนาม) พบว่าการใช้ชีวิตคู่กับ พล (นภัสกร มิตรเอม) ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ทั้งสองตกลงใจที่จะแยกกันสักพัก ขณะที่พลออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง ปกรณ์ก็คร่ำเคร่งกับงานกำกับละครเวทีที่เขารักด้วยหัวใจไม่เป็นสุขนัก กับความไม่แน่ใจในคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีกครั้งที่สถานีรถไฟ…

“มีบางสิ่งบางอย่างที่เวลาไม่สามารถทำลายได้”

อรัญญา (เดือนเต็ม สาลิตุล) กำลังมุ่งหน้าไปหา กรุง (สุเชาว์ พงษ์วิไล) ผู้ชายที่เธอมั่นรักเขามาตลอด 30 ปี เธอมีคำถามมากมายที่จะถามเขา แต่เธอก็ไม่รู้ที่จะเริ่มต้นมันอย่างไรดี ขณะที่กรุงจมอยู่กับอดีตรักที่เคยผิดพลาด จนยากที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง…

“เราจะบังคับตัวเองได้มั้ย เมื่อเวลาที่ความรักเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว”

2 สัปดาห์ก่อนการแต่งงาน เจ้าสาว (สินิทธา บุญยศักดิ์) พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากใจที่สุด เธอได้ตกหลุมรักกับ เพื่อนเจ้าบ่าว (กฤษฎา สุโกศล แคลปป์) ซึ่งมีครอบครัวแล้ว ทั้งคู่จะห้ามใจหักดิบความรู้สึกในรักนี้ได้อย่างไร…

พวกเขาและเธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายที่ยากต่อการตัดสินใจ

บางคน…เข้าใจและรับ “โอกาสครั้งที่สอง” มาแก้ไขในความรักที่เคยพลาดผิดไปนั้นได้อย่างสวยงาม

ขณะที่บางคน…มองข้ามผ่าน และสายเกินไปเมื่อจะย้อนกลับมาไขว่คว้า “โอกาสนั้น” อีกครั้ง…

เราจะจัดการกับ “โอกาสครั้งที่สองในชีวิต” กันอย่างไร หากมันมาเยือนโดยไม่คาดฝัน เรื่องราวเล่าถึง 6 ชีวิต ซึ่งถูกเชื่อมโยงผ่าน 1 บทเพลงที่ทำให้พวกเขามาพบเจอกัน กับการตัดสินใจครั้งสำคัญ…อีกครั้งของพวกเขา

ทีมงานสร้าง : รัก-ดราม่า (แนวภาพยนตร์) / The Story of O (บริษัทดำเนินงานสร้าง) / สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล (บริษัทจัดจำหน่าย) / ณัฐพล วงศ์ตรีเนตรกุล (ควบคุมงานสร้าง) / ณัฐพล วงศ์ตรีเนตรกุล (กำกับ-เขียนบทภาพยนตร์) / David Ethan Sanders (กำกับภาพ) / Tomoya Imai (ออกแบบงานสร้าง) / พลเอก สังฆคุณ (กำกับศิลป์) / นิรชรา วรรณาลัย (ออกแบบเครื่องแต่งกาย) / Robert Walker (ดนตรีประกอบ) / ลี ชาตะเมธีกุล (ลำดับภาพ) / อัคริศเฉลิม กัลยาณมิตร (ตัดต่อเสียง) / กันตนาฟิล์มแล็บ (ฟิล์มแล็บ) / เทคนิคคัลเลอร์ (บันทึกเสียง) / เพลง ความคิด (เพลงประกอบภาพยนตร์-เนื้อร้อง-ทำนอง-ขับร้อง อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข-แสตมป์ 7thScene)

นักแสดง:

ชาคริต แย้มนาม ปกรณ์ 
กฤษดา สุโกศล  
สินิทรา บุญยศักดิ์  
นภัสกร มิตรเอม พล 
สุเชาว์ พงษ์วิไล กรุง 
เดือนเต็ม สาลิตุลย์ อรัญญา 
Hiro Sano  
มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ 

ณ ขณะรัก…เขาและเธอ

ปกรณ์ (ชาคริต แย้มนาม) – ชายหนุ่มอารมณ์อ่อนไหว เป็นผู้กำกับละครเวทีบ้างาน ที่กำลังสับสนในความรักของตัวเอง ระหว่างงานที่ได้รับการยอมรับกับความรักบนเส้นทางแห่งเพศที่สาม เขาจะตัดสินใจให้น้ำหนักกับเรื่องไหนดี

“เรื่องนี้ผมรับบทเป็น ปกรณ์ เป็นผู้กำกับละครเวที เป็นคนที่ค่อนข้างมาจากครอบครัวที่ไม่ได้มีเงินมากมาย เป็นคนที่อารมณ์ค่อนข้างอาร์ติสมาก ทุกอย่างเขาทำมาด้วยตัวของเขาเองในความรู้สึกของตัวเอง เป็นคนที่สันโดษ แต่ก็ตามหาความรัก ตามหาสิ่งที่ใช่อยู่ แต่ด้วยความที่เขาเป็นศิลปินมากเกินไป มันก็ค่อนข้างไม่ลงกับจังหวะชีวิตของตัวเองซักเท่าไหร่ครับ

ผมว่า ทุกคนก็ต้องมีส่วนที่ตัวเองเหงา ทุกคนก็ต้องอยากมีคนที่ใช่ แต่ว่ามันอยู่ที่ว่าโอกาสนั้นจะมาเมื่อไหร่ เราคิดว่าเราควรต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักที่เราต้องเรียนรู้ในการดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้นะครับ”

เพื่อนเจ้าบ่าว (กฤษฎา สุโกศล แคลปป์) – ชายหนุ่มที่แต่งงานแล้ว แต่โชคชะตานำพาให้เขามาพบเจอกับหญิงสาวที่กำลังจะแต่งงาน ทั้งคู่มีใจให้กัน แต่ระหว่างความรักกับความถูกต้องเป็นสิ่งที่เขาต้องใคร่ครวญให้หนัก

“ในเรื่องนี้ผมรับบทเป็น เพื่อนของเจ้าบ่าว ที่มารักกับแฟนของเขานะครับ ก็ถือเป็นความรักอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจและตัวละครต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกที่สุดนะครับ

ผมรู้สึกว่าในเมืองไทยสิ่งที่สำคัญที่สุดกับนักแสดงหลายคน คือ บทที่ดี ถ้ามีใครมาเสนอเราในเรื่องราวที่เราอยากมีส่วนร่วมด้วย เราก็ยินดีที่จะรับเล่น ยินดีที่จะให้เต็มร้อย อย่างในบท A Moment in June นี้ถือว่าเป็นบทที่น่าสนใจสำหรับผมมากครับ

สำหรับหนังเรื่องนี้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างเกี่ยวกับเวลา ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันในเรื่องนี้ ความรักนี้เกี่ยวกันอยู่สองอย่าง เกี่ยวกับโชคชะตากับการที่เราจะสามารถสร้างความรักให้เกิดขึ้นได้ กล้าแสดงออก ถ้าจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา อย่าไปพลาดโอกาสนั้น”

ว่าที่เจ้าสาว (สินิทธา บุญยศักดิ์) – หญิงสาวผู้มีความมั่นใจในตัวเองเกินยุคสมัย เธอกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ แต่โชคชะตาก็นำพาเธอให้มาพบเจอกับชายหนุ่มที่มีครอบครัวที่ดีอยู่แล้ว ความผูกพันที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นกลายเป็นความรักโดยไม่ทันตั้งตัว

“ในเรื่องนี้เล่นเป็น ว่าที่เจ้าสาว ที่กำลังจะแต่งงานกับเพื่อนของพระเอก ตัวละครนี้จะเป็นผู้หญิงที่มั่นใจมากในยุคสมัยนั้น เป็นผู้หญิงทำงานที่เลี้ยงตัวเองได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งผู้ชาย ค่อนข้างอิสระพอตัวเลยนะคะ บทนี้เล่นยากเพราะมันต้องเล่นจากข้างในหมดเลย มันจะไม่แสดงออกด้วยคำพูด จะพูดน้อยมาก แต่จะออกมาจากความรู้สึกทางแววตามากกว่าคำพูด มันคือความรู้สึกที่ทั้งรักแล้วก็ทั้งผลักออก ในสมัยนั้นเรื่องการที่แอบชอบสามีคนอื่นเขา มันเป็นเรื่องที่ลำบากใจมาก ๆ ผู้หญิงคนนี้เลยต้องชั่งใจให้ดีกับหัวใจของตัวเอง

โดยส่วนตัว ความรักของตัวนุ่นเองคือการทำให้คนที่อยู่รอบตัวเรามีความสุข แต่ไม่เฉพาะคนรักนะ เป็นทั้งพ่อแม่พี่น้อง ใครที่อยู่รอบตัวเราก็อยากให้เขามีความสุขมากที่สุดค่ะ”

กรุง (สุเชาว์ พงษ์วิไล) – ชายวัยกลางคนเจ้าของกิจการเครื่องเล่นชิงช้าสวรรค์ ปมความรักที่เคยผิดพลาดมาในอดีต ทำให้เขายึดติดและไม่กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่กับความรักที่หัวใจเรียกร้องมาตลอด

“ผมอยู่ในวงการนี้มา 30 กว่าปี ในช่วงปลาย ๆ ความสำคัญของบทมันก็จาง ๆ ไป เพราะว่าหนังหรือละครจะเล่าเรื่องราวในส่วนที่เป็นของเด็ก เรื่องการตลาดจะไม่ค่อยแชร์บทของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ หนังเรื่องนี้จะเล่าถึงความเป็นครอบครัวถึงตอนช่วงอายุนั้นมากกว่า ก็รู้สึกดีที่ยังมีคนเห็นความสำคัญและคุณค่าของนักแสดงรุ่นอาวุโสที่วางรากฐานการแสดงในวงการนี้มาก่อนนะครับ

ความรักในความรู้สึกของผม มันเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่มีความสุข เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตคนเราอยากมีความสุขก็ต้องให้ความรักให้ความจริงใจต่อกันครับ”

อรัญญา (เดือนเต็ม สาลิตุล) – นักเขียนหญิงผู้ยึดมั่นในความรักซ่อนเร้นของตนมาตลอด 30 ปีโดยไม่เคยเอ่ยปากถามถึงบางสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง แต่ ณ ขณะนี้ เธอพร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปหาคำตอบแห่งรักครั้งนั้นจากชายที่เธอรัก

“เรื่องนี้รับบทเป็น อรัญญา เป็นนักเขียนหญิงที่ได้เกิดความรักแบบซ่อนเร้นขึ้นกับชายที่มีภรรยาอยู่แล้ว แล้วเกิดความพลิกผันคลาดเคลื่อนทำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่แล้ววันหนึ่งเราก็อยากที่จะกลับมาหาคนที่เรารักอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะให้โอกาสครั้งที่สองกับตัวเอง อยากให้คนดูดูว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ คนเรามันก็ต้องวิ่งไปหาโอกาสเพราะไม่มีโอกาสไหนวิ่งมาหาเรา

ท้าทายมากกับบทเรื่องนี้ เพราะในชีวิตนี้ไม่เคยเล่นบทแบบนี้เลย ไม่เคยที่จะต้องเล่นบทที่ต้องเลิฟซีนแล้วก็บทที่ต้องเก็บความรู้สึกแล้วก็ต้องถ่ายทอดออกมา โดยเฉพาะผู้กำกับที่ทำงานในระบบนานาชาติ เป็นบทที่เราอยากเล่นมานานแล้ว บอกตรง ๆ ว่าตัวเองไม่ได้เล่นหนังมานานมากแล้ว พอได้มาเล่นก็มีความรู้สึกว่า มันเป็นบทที่เล่นสมวัยแล้วก็มีอะไรที่น่าเล่นมาก ทีมงานทุกคนทำงานด้วยความตั้งใจมาก แล้วเราก็ได้เล่นในแบบที่เราอยากเล่น

ความรักมันก็เป็นสิ่งที่สวยงามนะแต่ว่าจะเป็นความรักแบบไหนก็ได้ อย่างตัวเราเป็นคนโสดก็ไม่ได้คิดที่จะมีความรัก เราคิดว่ายามแก่เฒ่าขอแค่ว่าแค่มีเพื่อนคนหนึ่งก็ได้ที่อยู่ด้วยกันรักกันโดยไม่ต้องเหมือนฝรั่งทั่วไปและอยากจะให้มีหนังรัก ๆ ถ่ายทอดกันออกมา ไม่ใช่เป็นหนังที่ชิงรักหักสวาท ให้มันมีหนังที่เป็นความจริงว่าคนเราต้องมีอีกหลายแง่มุมไม่ได้มีอยู่แค่มุมเดียวเท่านั้น”

พล (นภัสกร มิตรเอม) – ช่างภาพหนุ่มผู้ผิดหวังในความรักจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงของหัวใจ แต่เขาก็ได้สัญญากับคู่รักว่า วันหนึ่งจะกลับมาเจอกัน แต่โอกาสครั้งที่สองของพวกเขาจะมีอยู่จริงหรือ

“ในเรื่องนี้ ผมรับบทเป็น พล ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับปกรณ์ซึ่งรับบทโดยชาคริต ซึ่งเมื่อความสัมพันธ์มาถึงจุดหนึ่ง ทั้งคู่ก็เกิดความขัดแย้งกันขึ้น ทำให้เรื่องราวดำเนินต่อไป ความน่าสนใจจริง ๆ แล้วอยู่ที่การค้นหามากกว่า ค้นหาว่าตัวละครตัวนี้รู้สึกอย่างไร และตัวละครตัวนี้พาเราไปรู้จักกับอะไรบ้างทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจ ที่จะนำพาผู้ชมให้ได้ร่วมประสบการณ์ไปกับความรู้สึกและความรักของเขาไปด้วย

โดยส่วนตัวผมคาดหวังเรื่องของความรักของคนจริง ๆ เราอย่าไปมองที่เปลือกนอกหรือเรื่องของเพศ เราหวังให้คนเข้าใจหนังเรื่องนี้ในจุดนั้น นี่คือความคาดหวังสูงสุดของผมครับ”

ว่าที่เจ้าบ่าว (HIRO SANO) – นายทหารญี่ปุ่นที่กำลังจะแต่งงานกับว่าที่เจ้าสาวของตน แต่แล้วเขาก็ต้องกลับไปญี่ปุ่นเพื่อปฏิบัติภารกิจเร่งด่วน ช่องว่างครั้งนี้ทำให้ความรักของเขาและคู่หมั้นสาวพลิกผันไปตลอดกาล

“ผู้กำกับเขายังอายุยังน้อย แต่รู้สึกมีเซ้นต์แล้วก็มีประสบการณ์เยอะ เล่นง่ายทุกอย่าง เขาจะอธิบายเราเป็นอย่างดี ทำให้การทำงานง่ายดีครับ ฉากวันแรกที่แสดงแค่เดินเข้ามาหาแฟนผมที่สถานีรถไฟ แค่เดินอย่างเดียวครับยากมาก เดินไม่เหมือน เหมือนเสแสร้ง ผู้กำกับพูดแบบนี้ ให้ผมเปลี่ยนเป็นอารมณ์เศร้า ๆ นั่นแหละยากที่สุดครับ

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักคำสัญญาของเพื่อนทุกคนนะครับ ช่วยติดตามช่วยดู จะได้รู้ว่าหนังเรื่องนี้จะบอกอะไร แต่ผมว่าคนดูจะประทับใจจากข้างในแน่นอนครับ”

ภรรยา (มยุริญ ผ่องผุดพันธ์) – หญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยความเป็นกุลสตรีไทย รักครอบครัว ผู้ต้องเข้ามาพัวพันอยู่ใน “วังวนแห่งรัก” ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ และต้องเก็บงำความลับที่เธอล่วงรู้ไว้กับตัวเอง

“เรื่องนี้จะเป็นตัวละครที่ไม่มีชื่อในบทเล่นเป็น ภรรยาของพี่น้อย เป็นนางฟ้าตกลงมาจากสวรรค์เป็นคนดีเหลือเกิน เป็นคนไม่ค่อยพูด เป็นคนที่รักสามีมาก เป็นคนที่ดีมากและกดความรู้สึกตัวเองเอาไว้ กลัวคนอื่นเขาจะต้องเสียใจ เพราะคำพูดของเราเลยต้องเก็บเอาไว้ไม่กล้าบอกใคร

ปกติเป็นคนที่รับบทร้ายมาโดยตลอด และหนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตก็จะตื่นเต้นมาก ฉากแรกเป็นฉากที่นอนเฉย ๆ โชคดีมาก แต่เล่นไปก็รู้สึกสนุก รู้สึกว่าเป็นหนังที่มีเสน่ห์ ความท้าทายส่วนหนึ่งมันจะอยู่ที่การแสดงออกทางสีหน้าและแววตา เพราะว่าคาแร็คเตอร์ในบทของผู้หญิงที่เป็นภรรยา ไม่อยากให้สามีต้องเสียใจ ต้องเก็บเอาไว้ในใจ บางทีอยากจะบอก แต่พูดไม่ได้ ต้องใช้แววตาแสดงออกเป็นหลัก

นิยามความรักของกิ๊กประกอบด้วยความเมตตา ไม่ได้รักใครสักคนหนึ่งแล้วคนนั้นต้องมาเป็นของเรา รักทุกคนได้เหมือนกันหมด เพราะทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมโลกเกิดแก่เจ็บตายได้เหมือนกัน รักเพราะความเมตตาจะทำให้เรามีความสุข เราจะไม่โกรธเขา ไม่แค้นและไม่พยาบาทเขาค่ะ”

***ผนึกแน่นทีมนักแสดง***

“ตัวละครอย่างชาคริตที่เคยร่วมงานกันตอนทำหนังสั้น มาเรื่องนี้ก็เขียนให้เขาเล่นจริง ๆ เพราะมองเห็นว่าเขากับเราคุยกันรู้เรื่องในความเป็นนักแสดงของเขาไม่ใช่ความเป็นดาราของเขา รู้สึกว่าความสามารถเขาก็สูงมากเลย อยากให้เขาท้าทายในตัวบทที่เขาจะเล่นด้วย ก็เลยเขียนบทนี้ให้เขา

อย่างอาสุเชาว์ตัวจริงแล้วเขาใจดีมาก แต่หน้าตาเขาจะมาทางด้านบทร้าย ๆ คนเลยมองเขาดูแบบเป็นคนที่ร้ายลึกอะไรอย่างนี้ เขาไม่ใช่คนที่ดูแล้วจะเข้าใจเขาได้ง่าย ๆ ตัวละครของเขาเป็นอะไรที่มีเบื้องลึกหนาบางมากกว่าที่เห็นซึ่งเราเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงรักคนนี้ แต่เราก็เข้าใจอาสุเชาว์เหมือนกันว่าทำไมอาสุเชาว์ถึงทำอะไรที่ผู้หญิงคนนี้ขอไม่ได้ ก็เลยรู้สึกว่าเขาเหมาะกับบทนี้มาก

อย่างพี่ตุ๊ก เดือนเต็มไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้วเพราะฝีมือสุด ๆ อยู่แล้ว ก็เลยอยากเลือกบทที่ว่ามีอะไรที่ท้าทายกับเธอหน่อย คือพี่ตุ๊กเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะแข็งแรงในขณะเดียวกันก็อ่อนแอก็เลยบอกพี่เขาอยู่เสมอว่า ร้องไห้ได้นะแต่ไม่เอาน้ำตา ซึ่งเรารู้สึกว่าไม่ได้มีนักแสดงทุกคนที่ทำตรงนี้ได้ แต่พี่ตุ๊กเรารู้สึกว่าเพอร์เฟคมาก นักวิจารณ์ต่างประเทศหลาย ๆ คนที่เขียนถึงหนังเราก็จะพูดถึงพี่ตุ๊กค่อนข้างเยอะเหมือนกัน

ส่วนตัวพี่น้อยเห็นเขาเป็นคน 2 คาแร็คเตอร์ อยู่บนเวทีอย่างหนึ่ง ตัวจริงก็อีกอย่างหนึ่ง เขาเป็นคนสุภาพและเรียบร้อยมาก แต่พอขึ้นบนเวทีก็เป็นมนุษย์อีกคนหนึ่งเลย ซึ่งเรารู้สึกว่าตรงนี้มันน่าสนใจ สำหรับเขาบทนี้มันยากตรงที่เขาไม่เคยได้รับบทที่เป็นคนธรรมดาอย่างนี้ คือแอ็คติ้งของเขามันจะนิ่ง ๆ มากกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเขาก็ต้องศึกษาตรงนี้ เพราะจริง ๆ แล้วมันไกลกับตัวเขามาก แต่อยากได้ความเป็นตัวเขาใส่เขาไปในนั้น แล้วพี่น้อยก็เล่นให้ตรงนี้ซึ่งผมก็ภูมิใจ กับพี่น้อยมากครับ

พี่ตั๊ก นภัสกร ด้วยความที่เขาเป็นนักแสดงไม่ใช่ดาราในสายตาเรา เขาก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นบทหนังบทหนึ่งที่พออ่านแล้วเขาเข้าใจว่าตัวละครตัวนี้มันเป็นแบบนี้ เขาก็เลยตอบตกลงเล่นภายในวันเดียว ร่วมงานกับเขาก็ภูมิใจมาก ถ้าเกิดหนังเราที่ชาคริตเล่นกับคนอีกคนหนึ่งต้องได้ใครที่มีน้ำหนักที่จะดูเป็นผู้ใหญ่มาเล่นกับชาคริตซึ่งเรารู้สึกว่าเราเห็นพี่ตั๊กในบทนี้ เพราะเหตุนี้ก็เลยดึงเขามา แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีความอ่อนแอในตัวของพี่ตั๊กอยู่ก็เลยรู้สึกว่าเขาจะเหมาะกับตรงนี้

ส่วนนุ่น สินิทธา เรารู้สึกว่าโชคดีมาก ไม่เคยสังเกตมาก่อนว่านุ่นเป็นคนตาเศร้า พอร่วมงานกันพอนุ่นอยู่ในชุดที่อยากให้เขาใส่ ทรงผมที่อยากให้เขาเป็น ดูแล้วเขาใช่ตัวละครตัวนี้เลยไม่ต้องคุยอะไรกันเยอะ คือตอนเอาบทไปให้ที่บ้านแล้วก็คุยกันว่ามันเป็นอย่างนี้นะนุ่น ถ้าเกิดนุ่นอยากเล่นเรา Offer อะไรได้ไม่เยอะนะ เพราะเขาก็มีอาชีพที่ดีอยู่แล้ว ทำไมเขาต้องมาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย ก็เลยบอกเขาไปตรง ๆ ที่อยากให้เล่นเพราะว่าอะไร พอนุ่นตอบเล่นเราก็เซอร์ไพร้ส์เหมือนกัน เพราะว่าเราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน พอได้รู้จากเขาก็รู้สึกว่ามันสุดยอด ก็เลยเป็นกลุ่มหกคนนี้ที่ได้ร่วมงานกัน”

Director’s Note

ณ ขณะบันทึกรัก (Director’s Note)

…บทภาพยนตร์เรื่อง “A Moment in June ณ ขณะรัก” ถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่ผมเสร็จงานภาพยนตร์สั้นเรื่อง “Bicycles & Radios” ที่เคยทำไว้เมื่อยังเป็นนักศึกษา ผมมีความรู้สึกว่าตัวละครในภาพยนตร์สั้นเรื่องนั้น เขาเพิ่งจะได้เจอกันเมื่อวินาทีสุดท้ายก่อนหนังจบ เลยลองไปนั่งนึกดูว่าถ้าตัวละครพวกนี้มีเวลาเดินเรื่องต่อ เรื่องของพวกเขาจะเป็นยังไง นั่นคือจุดเริ่มต้นแรกเลย

…ใช้เวลาในการเขียนบทอยู่ประมาณสองปี โดนมีเรื่องหลักอยู่สามเรื่อง ดำเนินเรื่องโดยตัวละครหกตัว ผมสามารถหาจุดโยงสำหรับสองเรื่องได้โดยไม่ยากนัก แต่เรื่องที่สาม เรื่องของ ปกรณ์ และ พล ที่ ชาคริต และ พี่ตั๊ก (นภัสกร มิตรเอม) เล่นนั้น เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดและไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นเรื่องค่อยข้างส่วนตัวที่สุดในสามเรื่อง ผมไม่สามารถหาจุดโยงสำหรับเรื่องนี้ไปยังอีกสองเรื่องได้ ขณะนั้นจำได้ว่าเขียนไปประมาณหกเดือนแล้ว และกำลังกำกับละครเวทีอยู่ที่ London ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งและถามตัวเองว่า ในเมื่อเราเอาความเป็นเราเข้าไปอยู่ในปกรณ์เยอะขนาดนั้น ทำไมไม่ลองให้เขาเป็นผู้กำกับละครเวทีซะเลย หลังจากนั้นเลยนั่งเขียนใหม่ตั้งแต่ต้น

…มันทำให้ผมคิดถึงศิลปะของละครเวทีเอามาก ๆ ในช่วงนั้น Oscar Wilde เคยกล่าวเอาไว้ว่า “Life imitates art far more than art imitates Life” ผมเชื่อว่าอาจจะมีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ชึวิตของคนมีความเกี่ยวเนื่องกับศิลปะไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ผมจึงมามองย้อนดูชีวิตว่า บางทีเราก็หาคำตอบของชีวิตจากสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละครเวที ภาพเขียน หรือแม้แต่บทเพลง และในทางกลับกัน การสื่อสารอารมณ์ผ่านงานศิลปะก็เป็นการเรียนรู้ความรู้สึกของศิลปินคนนั้น ๆ และนั่นคือแกนหลัก ๆ ของบทภาพยนตร์เรื่องนี้

…ผมเลือกที่จะใช้ละครเวทีเป็นสื่อระหว่างเรื่องทั้งสามเข้าด้วยกันโดยความที่เป็นเรื่องใกล้ตัว คู่แรกคือเรื่องของคนที่เขียนระบายความรู้สึกของตัวเองผ่านบทละคร คู่ที่สองคือเรื่องของคนที่พยายามจะค้นหาคำตอบของชีวิตตัวเองผ่านการกำกับละคร และคู่ที่สามคือคู่ของตัวละครที่ผมเข้าใจว่า บางทีเขาก็มีชีวิตของเขาเองโดยที่นักเขียนไม่สามารถควบคุมได้

…วิธีการเล่าเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างจะยาก ทั้ง ๆ ที่เรื่องทั้งสามค่อนข้างที่จะเรียบง่าย แต่ด้วยความที่อยากจะให้คนดูค้นหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับตัวละครมากกว่าที่จะให้ตัวละครมาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขา เพราะความที่ว่าเรื่องนี้มันมีตัวละครหกตัว การตัดต่อระหว่างเรื่องจึงมีความสำคัญมาก มันเลยทำใหดูซับซ้อนเหมือนชีวิตคน แต่เพราะว่าความเกี่ยวโยงระหว่างคนหกคนนี้มันมีความสำคัญมาก การกำกับแต่ละฉากเลยต้องผ่านขบวนการความคิดว่าฉากนั้น ๆ จะไปกระทบกับฉากอื่น ๆ ยังไง ความซับซ้อนของการเตรียมงานจึงเกิดขึ้นจากจุดนั้น

…ระหว่างการเขียนบทและการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ มีหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่มันทำให้ผมย้อนมองกลับมาที่ชีวิตของตัวเอง มันเหมือนกับผมได้เรียนรู้อะไรที่เกิดขึ้นในอดีตหลาย ๆ อย่างที่ตัวเองไม่เคยเข้าใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้มันสอนให้ผมมองเหตุการณ์เดิม ๆ จากหลายมุมมอง

…และสิ่งที่ผมหวังก็เพียงอยากจะให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีผลกระทบกับคนดูไม่ทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะบวกหรือลบ อย่างน้อยอยากจะให้มันสะท้อนอะไรบางอย่างกลับไปถึงคนที่ได้ดู

โอ ณัฐพล วงศ์ตรีเนตรกุล (ผู้กำกับ A Moment in June ณ ขณะรัก)

 
ทีมงาน

ทีมงานคุณภาพ

ณัฐพล วงศ์ตรีเนตรกุล (ควบคุมงานสร้าง เขียนบท และกำกับภาพยนตร์)

การศึกษา

จบการศึกษาด้านภาพยนตร์จาก Art Center College of Design California USA

จบการศึกษาด้านละครเวทีจาก Mountivew Academy of Theatre Arts London UK

เกียรติคุณ

รางวัลจากภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Bicycles & Radios

– เข้ารอบชิงชนะเลิศ รางวัล Student Academy Awards 2004

– ชนะเลิศ Excellent in Short Filmmaking Awards จาก Asian American International Film Festival USA

– และชนะเลิศอีก 6 รางวัลจากทั่วโลก

– ฉายมากกว่า 60 เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติทั่วโลก รวมทั้ง Cannes International Film Festival 2004

Managing Director : The Story of O co.,ltd.

David Ethan Sanders (ผู้กำกับภาพ)

– จบการศึกษาด้านภาพยนตร์จาก Art Center College of Design California USA

– เคยร่วมงานกับ MTV USA และ NASA และกวาดรางวัลภาพยนตร์สั้นจากหลายสถาบันทั่วโลก

Tomoya Imai (ผู้ออกแบบงานสร้าง)

– จบการศึกษาด้านภาพยนตร์จาก Los Angeles City College California USA

– ผลงานที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่อง Hula Girls และ งานมิวสิกวีดีโอ ในประเทศญี่ปุ่น

Robert Walker (Music Composer)

– อดีตอาจารย์ด้านดนตรีที่มหาวิทยาลัยศิลปากร

– อดีต Conductor ของ Bangkok Symphony Orchestra

ลี ชาตะเมธีกุล (ผู้ลำดับภาพ)

– เจ้าของรางวัลนักตัดต่อภาพยอดเยี่ยมของ Hong Kong International Film Festival จากเรื่อง แสงศตวรรษ

***ร่างรัก พัฒนาบท***

“ถ้าเริ่มตั้งแต่ต้นจนจบก็น่าจะประมาณ 2 ปีครึ่ง แต่ไม่ใช่ 2 ปีครึ่งที่ไม่ได้ทำอย่างอื่นนะ แบบว่าเรียนไปด้วยแล้วก็พัฒนาบทไปด้วย จริง ๆ แล้วมันจะเป็นเรื่องราว 3 เรื่องที่จะโยงถึงกัน สองเรื่องแรกจะโยงได้ง่ายแต่เรื่องที่สามเราโยงยากมากเลย จนวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาตอนซ้อมละครที่เรียนอยู่ที่ลอนดอนถึงนึกออกว่ามันจะลิงค์กันได้ยังไง พอโยงได้กว่าจะเสร็จก็ประมาณเกือบ 2 ปีครึ่งได้ครับ”

***นิยาม ณ ขณะรัก***

“เรื่องของแต่ละคนมันก็จะแตกต่างกันออกไป สุดท้ายมันก็มาจบที่โอกาสครั้งที่ 2 หนังจะพูดเรื่องโอกาสของความรัก โอกาสของแต่ละคน ถ้ามันตั้งคำถามที่ว่า ถ้าคุณมีโอกาสอีกหนึ่งครั้งกับความรักที่คุณมี คุณจะทำกับมันอย่างไร คุณจะดีกับมันที่สุด หรือคุณคิดว่ามันน่าจะมีโอกาสมากกว่านี้ หรือคุณคิดว่านี่มันดีที่สุดแล้ว แต่โอกาสครั้งนี้มันก็เล่าเรื่องผ่านความรักของคนทั้ง 6 คน 6 แบบต่างกันออกไปครับ และเมื่อโชคชะตานำพาโอกาสครั้งที่สองมาให้ ทุกคนในเรื่องนี้จะจัดการกับสิ่งที่เคยทำพลาดไปในความรักของตนอย่างไร

คือเหตุการณ์มันเริ่มเรื่องปลายเดือนเมษายน แล้วเรื่องทั้งเรื่องมันเกิดอยู่ในเดือนของพฤษภาคม แล้วมันก็จะไปจบลงตอนเช้าของเดือนมิถุนายน เราจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องมันจบอยู่ที่ชั่ววูบหนึ่งที่ผู้ชายคนนี้เข้าใจตัวเองว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต แล้วโอกาสครั้งนี้ของตัวเองจะได้มันกลับมาหรือไม่ มันเป็นชั่ววูบตรงนั้น ก็เลยออกมาเป็น A Moment in June เพราะเหตุนี้แหละครับ”

***รักตกผลึก***

“เรารู้สึกว่าในความสามารถของนักแสดงรุ่นใหญ่อย่างอาเชาว์และอาตุ๊กนั้น เขามีความสามารถมากกว่าที่คนส่วนใหญ่จะให้เครดิตเขา เราเลยเห็นว่าเป็นจุดที่น่าสนใจแล้วเราจะพยายามบอกว่าหนังของเรามันมีทั้งหมด 2 รุ่น แล้วก็รู้สึกว่ามันเหมือนขาดอะไรไปถ้าไม่มีรุ่นผู้ใหญ่ ซึ่งมันก็จะบอกถึงความรักที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคู่ความรักของชาคริตหรือพี่น้อย เป็นคู่ที่ผ่านอะไรมาเยอะแล้วเข้าใจชีวิตมาเยอะแล้ว แต่สุดท้ายพอมาเป็นเรื่องความรักแล้วบางทีมันก็คอนโทรลตัวเองไม่ได้ เราก็เลยรู้สึกว่าทุกคนเป็นหมดไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ น่าสนใจตรงที่ว่าเห็นได้ชัดทุกมุมมอง ไม่ใช่ฝั่ง ๆ เดียว”

***ซึมซาบสีสันละครเวที***

“เพราะว่าเราเรียนละครเวทีมาด้วย ก็อยากทำทั้งละครเวทีอยากทำทั้งหนังเรื่องแรก ก็คือเราสามารถที่จะทำทั้งหนังทั้งละครเวทีทั้งสองอย่างได้ เราก็เลยมาบรรจบด้วยกันซึ่งในส่วนตัวคิดว่าคนที่ทำอย่างนี้มีอยู่แล้ว แต่ของเรามันจะลึกกว่าตรงที่ว่ามันจะเชื่อมละครเวทีกับชีวิตจริงตรงที่ว่าทุก ๆ ครั้งที่เปลี่ยนฉากของหนังมาเป็นละครเวทีหรือละครเวทีมาที่ตัวหนังมันมีความสำคัญมาก ซึ่งเราเน้นจุดเปลี่ยนเยอะ คืออยากให้คนดูเข้าใจเหมือนอย่างที่คนพูดว่า ชีวิตคือละครและละครคือชีวิต เราเลยดึงจุดตรงนั้นมาเล่นกับละครเวทีและหนัง”

***สถานสถิตย์รัก***

“เรื่องโลเกชั่นมันเป็นเรื่องสำคัญคือ เขียนมาจากโลเกชั่นส่วนตัว คือเราไม่ได้รู้จักทุกมุมมองทุกมุมของกรุงเทพฯ เลยเลือกโลเกชั่นที่เรารู้จักดี อย่างท่าฉลอมที่เราเห็นในหนัง ทำไมเราว่าต้องเป็นท่านั้น เพราะว่ามันมีอยู่ท่าเดียวในโลกก็เลยจำเป็นที่จะต้องถ่ายที่ท่านั้น อย่างสถานีรถไฟที่เราไปมาแล้วหลาย ๆ ที่อยากจะบอกว่า หัวลำโพงสวยกว่าสถานีรถไฟที่เราเคยไปมา เลยรู้สึกว่าต้องไปถ่ายที่นี่ โลเกชั่นส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละอย่าง วงเวียน 22, หัวลำโพง หรือเยาวราช เป็นอารมณ์ประมาณนั้น แต่โรงละครทุกฉากก็สร้างขึ้นมาใหม่จากจินตนาการที่ว่าอยากได้แบบอารมณ์นี้ ก็คือถ่ายกรุงเทพฯ ซัก 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าโรงหนังท่ามะเขือราม่า เราไปเจอที่กำแพงเพชรซึ่งเป็นโรงหนังที่เก่าแล้วเขากำลังจะทุบพอดี เราไปเจอก่อนที่เขาจะทุบ 1 สัปดาห์ ก็เลยขอเขาถ่ายซัก 5 วัน แล้วค่อยทุบนะ เรารู้สึกดีใจมากที่ไปเจอตรงนี้ แล้วหลังจากที่ไปถ่ายทำเสร็จเขาก็ไม่ทุบทิ้งแล้ว เขารู้สึกว่าย้อนอดีตของคนในหมู่บ้านได้เยอะ คนในหมู่บ้านก็คิดว่าควรจะบูรณะให้เป็นโรงหนังอีกทีหนึ่งนะ เราก็ภูมิในที่มีส่วนร่วมกับตรงนั้น ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่ได้ฉายหนังอะไรหรอก มันก็ถูกเก็บเอาไว้ในสภาพที่ดีมากกว่าปล่อยเอาไว้ในสภาพที่รกร้างนะครับ”

***นิยามรักผู้กำกับ***

“คืออยากจะบอกว่าตอนเขียนบทเขียนตัวเองเป็นพี่ตั๊ก ทำไปทำมาเริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่ เริ่มเห็นว่าเป็นทั้งพี่ตั๊ก เป็นทั้งชาคริต แล้วก็เป็นพี่น้อยด้วย เริ่มรู้สึกว่าคือคนเรามันก็คงยึดติดกับไอเดีย ๆ หนึ่ง แต่พอเรามาเจอเหตุการณ์บางเหตุการณ์ซึ่งมันบังคับกันไม่ได้ซึ่งคนเรามันก็ต้องพลิกผันไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าถามว่าเราเชื่อในความรักไหม เราเชื่ออยู่แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงทำหนังรักไม่ได้หรอก เราเชื่อว่ารักแท้มันมีอยู่จริง”

***เปิดโอกาสให้หัวใจสัมผัสหนังรักดีดี***

“เราจะบอกว่ามันไม่ใช่หนังตลาด ไม่ใช่ว่าตลกขำ ๆ ดูแล้วก็ผ่านไป คือใจจริงแล้วอยากเปิดโอกาสให้กับคนที่ดูหนังมี choice เพิ่มขึ้นมากกว่า แล้วในความเป็น mass ของหนังเรื่องนี้มันก็มีอยู่เยอะ แต่มันไม่ใช่ mass ที่แบบว่าคนเข้ามานั่งกินป๊อปคอร์น 2 ชั่วโมงแล้วเดินกลับบ้านไป เราอยากให้เดินออกแล้วเขาคิดอะไรกับชีวิตของเขาได้อะไรอย่างนี้ คือมีคนที่ดูหนังที่ปูซานแล้วเขามาบอกว่าอยากกลับบ้านไปกอดแฟนที่บ้าน ซึ่งสำหรับเราอันนี้มันคือสิ่งที่เราอยากได้ แต่ถ้ามองด้วยตัวเลขตัวเงินแล้ว เรารู้สึกว่าหนังเรื่องแรกเอาแค่คืนทุนแล้วก็จบแค่นั้นก็พอแล้ว จะได้มีโอกาสทำเรื่องอื่นต่อ ๆ ไป แต่ในเรื่องความรู้สึกเรามองตรงนั้นสำคัญกว่า อยากให้คนดูกลับไปแล้วกอดแฟน แล้วรู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ นี่คือจุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้”

Share this article :

แสดงความคิดเห็น