Home » , » มิตร ชัยบัญชา กับข้าพเจ้า โดย เศก ดุสิต

มิตร ชัยบัญชา กับข้าพเจ้า โดย เศก ดุสิต

เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ศกนี้ คุณสุภัทร สวัสดิรักษ์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ นิตยสาร “สกุลไทย” ได้ออกปากเชิญผม ไปพบกับคุณประยูร ส่งเสริมสวัสดิ์ ผู้เป็น บรรณาธิการนิตยสารฉบับนี้ที่สํานักงาน สกุลไทย และเมื่อได้พบกันแล้ว ทั้งคุณสุภัทร และคุณประยูรก็ได้บอกกับผมว่า ทางนิตยสาร “สกุลไทย” จะจัดทําฉบับวันเกิด และ มีความประสงค์จะอภินันทนาการแด่ผู้อ่าน ด้วยสิ่งอันมีประโยชน์สักสิ่งหนึ่ง แต่เนื่องจากในวาระนี้ ข่าวการสูญเสียพระเอกยอดนิยม มิตร ชัยบัญชา กําลังอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างยิ่ง ทุกคนมีความกระหายใคร่รู้เรื่องราวของพระเอกหนุ่มผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังกันทั้งนั้น ทางกองบรรณาธิการ “สกุลไทย” จึงต้องการที่จะ สนองความต้องการของประชาชนในเรื่องนี้ด้วย และเล็งเห็นว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีความสนิทสนม คุ้นเคยกับพระเอกมิตรผู้นี้เป็นอย่างดี ประกอบกับ มิตร ชัยบัญชา ได้ประสบอุบัติเหตุถึงแก่กรรม ในขณะที่กําลังแสดง ภาพยนตร์เรื่องที่ผมเป็นผู้เขียนอีกด้วย จึงได้ขอให้ผมเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวกับมิตร ชัยบัญชา ในส่วนที่ผมได้รู้จักและรู้เรื่อง เพื่อให้ประชาชนได้อ่านกันอีกแนวหนึ่ง ซึ่งคงจะ แตกต่างกับข่าวที่ปรากฏ ในหน้าหนังสือพิมพ์ รายวันอยู่บ้าง

ในฐานะที่ทั้งคุณสุภัทร และคุณประยูรเป็น เพื่อนกับผม ผมจึงรับปากที่จะเขียนให้ และต้องขออภัยต่อคุณผู้อ่านด้วยถ้าหากว่าเรื่องราว ที่ผมเล่าอาจจะสับสนไปบ้าง เพราะเป็นการเขียนอย่างกะทันหัน และยังอยู่ในอารมณ์ที่ สะเทือนใจกับการจากไป ของพระเอกมิตรอยู่ จึงอาจจะเรียบเรียงเหตุการณ์สับสนก็ได้ ผมแน่ใจว่าคุณผู้อ่านคงจะให้อภัยแก่ผมแน่นอน จึงขอเล่าตั้งแต่เริ่มแรกดังต่อไปนี้

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หรือเมื่อประมาณ  ๑๓ ปีล่วงมาแล้วนี้เอง ขณะนั้นวงการภาพยนตร์ไทยมี ลือชัย นฤนาท ชนะ ศรีอุบล และ อดุลย์ ดุลยรัตน์ กําลังเป็นพระเอกเนื้อหอมอยู่ และตัวผมเองก็นั่งเขียนหนังสืออยู่ที่ สํานักพิมพ์บรรลือสาส์น ผ่านฟ้า ซึ่งในขณะ นั้นนวนิยายชุดอินทรีแดงเรื่อง “จ้าวนักเลง” ของผมกําลังตีพิมพ์เป็นเล่ม ขนาดพ็อกเก็ตบุ๊ค จําหน่ายอยู่ในท้องตลาด และได้รับการต้อนรับจากนักอ่านอย่างมากมายด้วย ในปีนี้เอง วงการภาพยนตร์ก็มีพระเอกคนใหม่ เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง คือ มิตร ชัยบัญชา คนนี้แหละ เพราะตอนนั้นภาพยนตร์เรื่อง “ชาติเสือ” ซึ่ง สร้างโดยบริษัท ทัศไนยภาพยนตร์กําลังฉายอยู่ ที่ศาลาเฉลิมกรุง การเริ่มต้นในเรื่องแรกของ มิตรได้รับความนิยมจากผู้ชมไม่น้อยเลย เพราะ “ชาติเสือ” มีรายได้เมื่อถอดจากโรงแล้วประ มาณเจ็ดแสนบาทเศษ ผมเองในตอนนั้น ก็ยังไม่ได้สนใจนัก เพราะงานเขียนหนังสือเร่งจี๋อยู่ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณประทีป โกมลภิส เพื่อนสนิทนักเขียนคนหนึ่งของผม ซึ่งเป็นผู้กำกับการแสดงเรื่อง “ชาติเสือ” ได้พาคุณรังสรรค์ ตันติวงศ์ เจ้าของหนังเรื่อง “ชาติเสือ” มาพบกับผม และขอซื้อเรื่อง “สี่คิง” ของผมไปเพื่อจะทําหนังต่อจาก “ชาติเสือ” ผมก็ขายให้ไป

ขายเรื่อง “สี่คิง” ไปเพียงอาทิตย์เดียว ทั้งคุณประทีปกับคุณรังสรรค์ ก็มาหาผมที่สํานักพิมพ์บรรลือสาส์นอีก แต่คราวนี้ไม่ได้มาเพียงสองคน แต่พาชายหนุ่มวัย ๒๓ ปี รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งมาด้วย พอหนุ่มรูปหล่อผู้นั้นยกมือไหว้ผมเสร็จ คุณประที่ปก็บอกกับผมว่า “นี่ไงล่ะ มิตร ชัยบัญชา ที่ผมจะให้เป็น อินทรีแดงของคุณ” ผมร้องอะ และบอกว่าเรื่อง “สี่คิง” ที่ ขายไปนั้นไม่ใช่เรื่องในชุด “อินทรีแดง” นี่นา เขาก็หัวเราะและบอกต่อไปว่า เขาต้องการที่จะส่งเสริมพระเอกใหม่คนนี้ให้โด่งดังขึ้นไปอีก และเห็นว่านิยายชุดอินทรีแดงเรื่อง “จ้าวนัก เลง” ของผมกําลังขายดิบขายดีเหลือเกิน เรียกว่าเป็นเรื่องที่ “ฮิท” ที่สุดในขณะนั้น และ มิตรเองได้อ่านเรื่องแล้วก็ชอบใจมาก เพราะ แคแรคเตอร์ของอินทรีแดง ถูกใจเขาจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้ง คุณประทีป และ คุณรังสรรค์ ก็เห็นดีด้วย จึงขอซื้อลิขสิทธิ์เรื่อง “จ้าวนักเลง” ของผมอีกเรื่องหนึ่ง และจะสร้างเรื่องนี้ก่อนด้วย เพราะเห็นว่าเรื่องนี้แหละที่จะทําให้ มิตร ชัยบัญชา โด่งดังได้อย่างแน่นอน 

ผมมองดูมิตรซึ่งนั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า ท่าทางของมิตรในขณะนั้นยังติดจะอายๆ อยู่ ทําเหมือนกับว่า ตัวเขาเป็นหญิงสาวที่มานั่งอยู่ท่ามกลางผู้ชายล้วนๆอย่างนั้นแหละ ผมถามคําก็ตอบคํา แถมบางครั้งยังทําหน้าแดงๆ เสีย ด้วย เมื่อผมแกล้งถามล้อถึงผู้หญิง ผมดูแล้ว ยังนึกอยู่ในใจว่า ท่าทางอย่างนี้จะแสดงเป็น “อินทรีแดง” ซึ่งมีบทบาทโลดโผนโจนทะยานไหวหรือ แต่อย่างไรก็ตาม ในตัวของมิตร ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมถูกใจมาก นั่นก็คือรูปร่างของเขาซึ่งเหมาะสมกับ “อินทรีแดง” อย่างที่สุด ตรงกันเผงกับที่ผมวาดเอาไว้ในมโนภาพที่เดียว และคนรูปร่างอย่างนี้แหละ ถ้าสวมเครื่องแบบ “อินทรีแดง” แล้วคงสง่าไม่น้อยเชียว

“กินเหล้าเป็นไหม ?” ผมถาม “ไม่เป็นครับ” มิตรตอบแผ่วๆ “สูบบุหรี่เป็นไหม ?” “ไม่เป็นครับ” “ต่อยเป็นไหม ?”
“พอได้ครับ เพราะผมเคยได้เหรียญทอง ของโรงเรียน”

ประโยคหลังนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะ การชกต่อย เป็นจุดสําคัญของเรื่องที่ผมเขียนเสียด้วย แต่คุณประทีปก็ยืนยันกับผมว่า เรื่องที่พระเอกคนนี้กินเหล้าไม่เป็น สูบบุหรี่ไม่ได้นี่ ก็ไม่เป็นไร เพราะมิตรสามารถแสดงบทเมา เหล้าได้โดยไม่ต้องกินเหล้า ถ้าผมตกลงเรื่อง ลิขสิทธิ์ เขาจะเริ่มถ่ายทําในสัปดาห์หน้านี้แหละ ผมเชื่อคุณประทีป จึงตกลงให้เรื่องนี้ไป การถ่ายทําเรื่อง “จ้าวนักเลง” จึงเริ่มขึ้นในอีกสัปดาห์หนึ่งจริงๆ และผมก็ไปดูการถ่ายทําในครั้งนั้นด้วย แล้วผมก็ได้เห็นว่า มิตร ชัยบัญชาเป็น พระเอกที่ขี้อายจริงๆ

ฉากที่ถ่ายทําในวันนั้น เป็นฉากในห้องนอนของน้ำเงิน บุญหนัก และมิตรจะต้องมีบทจูบกับน้ำเงินด้วย เมื่อผู้กํากับฯ คือคุณประทีป สั่งเดินกล้อง มิตรก็ประคองกอดน้ำเงินไว้ ผมเกือบจะหัวเราะออกมา เมื่อเห็นมิตรกอดน้ำเงิน อย่างเกรงใจ ยิ่งตอนก้มลงจูบยิ่งไม่เอาไหนใหญ่ งกๆ เงิ่นๆ พิลึก ทั้งนี้ก็เพราะในฉากนั้นมี ทานทัต วิภาตะโยธิน ซึ่งเป็นคู่ชีวิตของ น้ำเงิน (ในขณะนั้น) อยู่ด้วย มิตรคงจะเกรงใจทานทัต จึงไม่กล้าแสดงบทบาทเต็มที่ จนกระทั่งทานทัตต้องมายืนบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ แสดงเข้าไปเถอะ ไม่มีใครเขาถือสาหรอก นั่นแหละการถ่ายทําคัทนั้น จึงผ่านไปได้ หลังจากที่ต้องถ่ายซ้ำอีกหลายครั้ง

ในการถ่ายทําเรื่อง “จ้าวนักเลง” นี้ผม ได้ติดตามและให้คําปรึกษาหารืออยู่เสมอ ผมกับมิตรจึงเริ่มสนิทสนมกันมาตั้งแต่นั้น และ ผมก็ได้มองเห็นว่ามิตร เล่นบทอินทรีแดงได้อย่างดีที่สุดสมกับที่คุณประทีปตั้งใจไว้ ยิ่งเป็น บทโลดโผนด้วยแล้วยิ่งวิเศษที่สุด เพราะมิตร รักการแสดงในบทอย่างนี้จริงๆ และเมื่อการถ่ายทําเรื่องนี้สิ้นสุดลง มิตรยังได้บอกกับผมว่า เขารักอินทรีแดงที่ผมเขียนมานานแล้ว ฉะนั้น การที่ได้มาแสดงเป็นอินทรีแดง จึงเป็นสิ่งที่ถูกใจเขาที่สุด เขาจะเล่นบทนี้อย่างถวายหัวจริงๆ

ปี ๒๕๐๑ “จ้าวนักเลง” ออกฉายที่ศาลาเฉลิมกรุงอีกนั่นแหละ และผลของมันก็ให้ความสมหวังแก่ทุกคน บทบาทของมิตรสร้างความพอใจให้แก่แฟนหนังไทยอย่างเหลือล้น ประทีป โกมลภิส อิ่มเอิบใจที่คาดการไว้ไม่ผิด บทบาทของ “อินทรีแดง” ผลักดันมิตรให้โด่งดังยิ่งกว่าพลุ ชื่อของ มิตร ชัยบัญชา ติดปากคนทั้งประเทศ รัศมีของเขาเริ่มบดบังพระเอก ที่ตั้งอยู่เดิมบ้างแล้ว เพราะเพียงก้าวเข้ามาแสดงภาพยนตร์สองเรื่อง เรื่องที่สองก็ทํารายได้เกินล้านบาทอย่างน่าภาคภูมิเลยทีเดียว

เมื่อเป็นเช่นนี้ มิตร ชัยบัญชาก็ก้าวต่อไปอีก ไม่ต้องหยุดชะงักเหมือนพระเอกใหม่คนอื่นๆ จาก “จ้าวนักเลง” มิตรเป็นพระเอกอีกในเรื่อง “แสงสูรย์” (ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของ ภาวนา ชนะจิต) ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่อง ชีวิต จึงไม่ค่อยมีบทโลดโผนอะไรนัก แต่ก็ทําให้ชื่อเสียงของมิตรขจรขจายออกไปอีก เพราะแสดงให้เห็นว่า แม้เขาจะชอบบทบู๊ โลดโผนมาก แต่เขาก็สามารถแสดงบทชีวิตได้เป็นอย่างดีเหมือนกัน

ตอนนี้เอง ผู้อํานวยการสร้างทั้งหลายเริ่มเบนความสนใจมาหามิตรแล้ว
“ยูเนียนฟิล์ม” โดยคุณศุภอัฐ ชวโนทัย มาขอซื้อบทประพันธ์เรื่อง “เหนือมนุษย์” ของผมเพื่อสร้างหนัง เรื่องนี้เป็นเรื่องบู๊ โลดโผนอีกเช่นกัน จึงเป็นที่ถูกใจของมิตรอย่างยิ่ง มิตรเล่นหนังอย่างสนุก มันเป็นความสนุกใน ความรู้สึกของเขาเอง แต่บางครั้งก็ไม่สนุกสําหรับผู้ที่ดูการถ่ายทํานัก เช่นในฉากหนึ่ง ของ “เหนือมนุษย์” นั้น มีบทของพระเอกที่จะต้องโดดลงจากรถเก๋ง ในขณะที่กําลังวิ่งอยู่บนถนน การถ่ายทําฉากนี้ผู้กํากับฯ คือ “คุณา วุฒิ” จะใช้ตัวแทนซึ่งเป็นนักยิมนาสติคมากระโดดให้ แต่มิตรไม่ยินยอม เขาเชื่อมั่นว่าเขาแสดงได้เองโดยไม่ต้องใช้ตัวแทน เขาต้องการที่จะพิสูจน์ให้คนดูเห็นว่า การแสดงอย่างโลดโผนเช่นนี้เขาแสดงด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้ “สแตนด์อิน” อย่างหนังฝรั่ง เขาจึงนั่งบนรถที่วิ่งด้วยความเร็วนั้นมาจนถึงหน้ากล้อง แล้วเปิดประตูรถพุ่งตัวลงมาข้างถนน ให้กล้องเห็นหน้าเขาอย่างถนัด

มิตร ชัยบัญชา โดดจากรถอย่างน่าหวาดเสียวได้เป็นผลสําเร็จ กล้องถ่ายเก็บภาพของ เขาไว้ได้อย่างสวยงาม ทว่าเมื่อร่างของเขา กลิ้งหลุดจากเฟรมภาพไปแล้ว ผู้ดูทั้งหลายไม่รู้หรอกว่า มิตร ชัยบัญชา ต้องสลบไปเพราะ น็อคพื้น! ผลของมันทําให้เขาต้องหยุดถ่ายหนังไปอีกอาทิตย์ แต่การน็อคพื้นเพียงแค่นี้จะทําให้ เขาเข็ดหลาบหรือ เปล่าเลย….

มิตรบอกว่าการเจ็บในครั้งนั้น เป็นบทเรียนของเขา ไม่ใช่บทเรียนให้เขาเลิกการแสดงผาดโผนเช่นนี้ แต่เขาบอกว่า
“ที่นี้ผมรู้แล้วละว่า จะโดดจากรถยังไง ถึงจะไม่เจ็บ รับรองว่าถ้ามีบทโดดรถอีกครั้ง ผมจะโดดให้นิ่มที่เดียว” เห็นรึยังครับว่า พระเอกคนนี้มีนิสัยอย่างไร

มิตรไม่เคยเข็ดหลาบจากความเจ็บ คนอื่นอาจจะมีความ “แหยง” บ้าง แต่มิตรไม่แหยงเลย ยิ่งเจ็บเท่าไหร่เขาก็ถือเป็นบทเรียนเท่านั้น บางบทเขาต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนที่สูง และโดดลงมาล็อคคอผู้ร้าย ที่เดินอยู่ข้างล่าง ทั้งๆ ที่ความสูงนั้นไม่น้อยกว่าสามเมตร เสี่ยงกับการขาหักอย่างยิ่ง แต่มิตรก็แสดงได้โดยขาไม่หัก ความกล้าอย่างบ้าบิ่นของเขาทําให้ ผู้ชมสนุกสนานสมใจ มิตรชอบไปดูภาพยนตร์ ที่เขาแสดงเสมอ เมื่อได้เห็นความพอใจของ ผู้ชม เขาก็ยิ่งเพิ่มรสชาติของการแสดงยิ่งขึ้น โดยไม่ห่วงต่อความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย

“เหนือมนุษย์” มีรายได้เป็นล้านอีกตามเคย ชื่อของ มิตร ชัยบัญชา โก่งขึ้นไปทอประกายสุกใสอยู่บนฟ้าดารา แล้วอย่างไม่มีวันร่วง
มิตรกลายเป็นดารา ที่มหาชนต้องการสูงสุดไปแล้ว เขาถูกจ้างไปถ่ายหนังแทบไม่มีวันหยุด (แต่ก็ยังมีวันหยุดบ้าง ไม่เหมือนกับระยะก่อนที่เขาจะถึงแก่ความตาย ถ้าเขาไม่กําหนดวันหยุดของตัวเองแล้ว เขาจะไม่มีวันหยุดเลย) แต่เมื่อเป็นงานที่เขาพอใจ มิตรก็ทํางานเรื่อยไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ความสุภาพของเขา ทําให้ผู้ใหญ่รัก แต่เมื่ออยู่ในหมู่พวกเดียวกัน มิตรก็เป็นคนชอบสนุกเฮฮา มีนิสัยชอบแหย่คนเป็นประจําวัน และใครจะแหย่เขาบ้างก็ได้ มิตรไม่เคยถือตัวว่าเป็นพระเอก ดังนั้นแม้แต่เด็กยกรีเฟลกซ์ก็เย้าแหย่กับเขาได้ สิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบให้แหย่คือเรื่องผู้หญิง เพราะถ้าพูดเย้าเขาถึงเรื่องผู้หญิงครั้งไร มิตรจะหน้าแดงขึ้นมาทันที และปฏิเสธเสียงหลงว่าเขาไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเลย

นอกจากการชอบแหย่คนแล้ว ในวงการภาพยนตร์จะรู้กันหมดว่ามิตรเป็นคนกินจุที่สุด กินจุสมกับที่เขาเป็นคนร่างใหญ่ เขาเคยพนัน กินบะหมี่น้ำถึงสิบชามมาแล้ว และเขาเป็นฝ่ายชนะอย่างขาวสะอาดเสียด้วย นั่นเป็นเรื่อง ของการพนัน แต่โดยปรกติแล้วมิตรจะรับประทานข้าวราวสองจาน อาหารของเขาก็ไม่ใช่ของดิบของดีอะไร ใครกินอะไรเขาก็กินอย่างนั้น ไม่จําต้องมีอาหารพิเศษสําหรับเขา ความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ของเขานี่เองทําให้ ทุกคนรักเขายิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ในเรื่องของการช่วยเหลือมนุษย์ก็เช่นกัน มิตรเป็นบุคคลที่น่าสรรเสริญในข้อนี้อย่างที่สุด เขาจะช่วยเหลือบุคคลที่ได้รับทุกข์ทุกคน ที่เข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขา หรือบางทีไม่ต้องไปร้องขอ ถ้าเขารู้ก็จะยื่นมือเข้ามาช่วย ทันทีถ้าเขาเห็นว่าสมควร ผู้ที่เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ เพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกยอดนิยมที่แสดงคู่กับเขานี่แหละ เพชรา ก้าวเข้ามาแสดง ภาพยนตร์เรื่องแรก ในเรื่อง “บันทึกรักพิมพ์ฉวี” คู่กับมิตร ชัยบัญชา แต่ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็เหมือนกับเป็นการแนะนํา นางเอกใหม่ให้แฟนหนังได้รู้จักเท่านั้นเอง แม้หนังเรื่องนั้นจะมีรายได้สูง ก็เห็นได้ว่าเป็น เพราะมิตรแท้ๆ ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนให้มาดู เพราะหลังจากนั้นเพชราก็ได้แสดงอีกสองสามเรื่อง ผู้อํานวยการสร้างรายอื่นๆ ก็ยัง ไม่กล้านําเพชรามาเป็นนางเอกในหนังของตัว ทว่า มิตรนี่เองที่สงสารเพชรามาก ทั้งนี้เพราะในระยะนั้นเพชรายังจน แต่มีน้องและพ่อแม่ ที่จะต้องเลี้ยงดูอีกหลายคน มิตรเห็นใจในข้อนี้จึงพยายามช่วยเหลือเพชราอย่างที่สุด และเนื่องจากเขา กําลังเป็นพระเอกเนื้อหอมอยู่ในขณะนั้น อิทธิพลของเขาจึงมีมากพอที่จะอุ้มชูเพชราได้ เมื่อเขาขอร้องให้ผู้อํานวยการสร้างที่จ้างเขาไปเล่นเป็นพระเอก นําเพชรามาแสดงเป็นนางเอกในเรื่องนั้นๆ ผู้อํานวยการสร้างทั้งหลายก็ยินยอมโดยดี ด้วยความช่วยเหลือของมิตรนี่แหละ เพชราจึงกลายเป็นนางเอกยอดนิยมคู่กับเขาไปอีกคนหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ ถ้ามีใครไปถาม เพชราจะยอมรับทันทีว่าเธอก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกยอดนิยมก็เพราะ มิตร ชัยบัญชาโดยแท้ และเธอก็นับถือมิตรเสียยิ่งกว่าพี่ชายร่วมสายโลหิตแท้ๆ ของเธอเสียอีก

นอกจากเพชราแล้ว เพื่อนฝูงอีกหลายคนก็เคยได้รับความอุปการะจากมิตร เพราะ ฉะนั้นจึงไม่ใช่ของแปลกอะไรเลยที่ในบ้านของ มิตรจะมีเพื่อนร่วมวัยของเขาอยู่กันเต็มไปหมด ใครทุกข์ร้อนอย่างไรก็บากหน้ามาหา และคน เหล่านี้ก็ไม่มีใครผิดหวังเลยสักคน นี่คือน้ำใจของมิตร ชัยบัญชา และก็เพราะน้ำใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนนี้เอง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หรือ ๒๕๐๔ ซึ่งผมก็จําไม่ได้ถนัดนัก ปรีชา บุญยเกียรติ นักร้องชื่อดังซึ่งมิตรรัก และนับถือเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งคิดจะสร้างหนัง และจะต้องไปถ่ายทําที่ต่างจังหวัดทางภาคใต้แถบเพชรบุรี พอรู้ว่าปรีชา จะไปดูสถานที่ซึ่งเป็นแผ่นดินเกิดของตัว มิตรก็รับช่วยเหลือจะพาไปดูทันที ถึงกับยอมนั่งรถไปกับปรีชาด้วย แต่รถยังวิ่งไปไม่ถึงที่หมายที่เกิดอุบัติเหตุเสียก่อนจนคว่ำลงข้างทาง ปรีชาตายคาที่ อรนิตย์ ซึ่งเป็นภรรยาปรีชา หน้าแตกเสียโฉม และมิตร ชัยบัญชา ขาหักสลบเหมือดอยู่กับที่นั่นเอง

อุบัติเหตุในครั้งนั้น ทําให้นายแพทย์ต้องผ่าตัดขาที่หักของมิตร และใช้เหล็กไม่เป็นสนิมดามเอาไว้ตั้งแต่บัดนั้น จนตลอดชีวิตของเขา ออกจากโรงพยาบาลมาได้ มิตรก็เริ่มแสดงหนังต่อไปอีก แม้ว่าขาข้างนั้นของเขา จะไม่สมบูรณ์อย่างปรกติ แต่มิตรก็ไม่ยอมเลิกการแสดงอย่างผาดโผน เขาถือมติว่าเมื่อแสดงแล้วจะต้องแสดงให้ดีที่สุด มิตรยังคงเล่นอย่างไม่กลัวเจ็บต่อไป แม้ว่าบางครั้งเขาจะต้องทรมานจากขาข้างนั้นก็ตามที แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดยั้ง เขาเล่นต่อไป และต่อไป

เมื่อได้แสดงหนังมากขึ้น มิตรก็มีเงินรายได้ที่เก็บหอมรอมริบไว้พอสมควร จึงคบคิดกับพรรคพวกที่เคยร่วมงานร่วมใจกันมาอีกสี่คนเพื่อจะสร้างหนังเองสักเรื่องหนึ่ง เพื่อนร่วมใจในครั้งนั้นก็คือ วิน วันชัย, อนุชา รัตนมาลย์, ทานทัต วิภาตโยธิน และ ไพรัช สังวริบุตร มิตรร่วมทุนกับพรรคพวกทั้งสี่คนนั้นและตกลงสร้างหนังกันเอง โดยแบ่งงานกันทําทั้งหมด มิตรกับอนุชาเป็นผู้แสดงและวิ่งหาเงินที่ยังไม่พอมาลงทุน วิน วันชัยทําหน้าที่กํากับฯ ไพรัชถ่ายภาพ ทานทัตทําหน้าที่ธุรกิจถ่ายทํา และเรื่องที่มิตรเลือกเอามาสร้างก็เป็นเรื่องที่เขาชอบอยู่แล้ว นั่นก็คือนิยายชุดอินทรีแดงเรื่อง “ทับสมิงคลา” ขอ ผม และผมเองเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “ทับสมิงคลา” ทําเงินรายได้อยู่ในขั้นดีมาก มิตรแสดงเป็นอินทรีแดงเช่นเคย ระหว่างที่หนังเรื่องนี้ทําการฉายอยู่ที่ เอมไพร์ มิตรแอบไปนั่งดูอินทรีแดงซึ่งตัวเขาเล่นเอง อยู่ในห้องฉายไม่น้อยกว่าสิบรอบ จนผู้ร่วมงานรู้กันทั่วไปหมดว่า มิตรหลงใหลในตัวอินทรีแดงอย่างเหลือเกิน

การสร้างหนังนี้มีอาถรรพณ์อยู่อย่างหนึ่ง คือถ้ามีการร่วมหุ้นกันทํามากคน แล้วมักจะไปกันไม่รอดเลยสักบริษัทเดียว บริษัท “วชิรณภาพยนตร์” ของมิตรนี่ก็เช่นกัน ทํากันได้แค่ “ทับสมิงคลา” นี่ก็ต้องเลิกกันไป แต่ผู้ร่วมงานก็ยังสนิทสนมกลมเกลียวกันดีอยู่ ดังนั้น ต่อมาอีกไม่นาน มิตรก็รวบรวมเงินทองที่มีอยู่สร้างหนังของตัวเองใหม่อีกเรื่องหนึ่ง คราวนี้มิตรใช้ชื่อบริษัทว่า “ชัยบัญชาภาพยนตร์ เลยทีเดียว และผมก็ถูกเรียกตัวมาปรึกษาอีก ครั้งนี้มิตรขอเรื่อง “ครุฑดำ” ของผมมาสร้าง และหนังเรื่องนี้เองที่เปลี่ยนอุปนิสัยใจคอของมิตรให้ผิดไปจากเดิม มิตร ชัยบัญชา ไม่ได้เป็นพระเอกขี้อายอีกต่อไปแล้ว

การสร้างหนังเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะผู้สร้างจะต้องร่วมงานกับคนอีกหลายคน แต่ละคนก็ล้วนแต่สําคัญในสายงานต่างๆ ทั้งนั้น นอกจากนี้แล้วยังมีอุปสรรคในการถ่ายทําอีกนานัปการ มิตรซึ่งเมื่อเป็นผู้แสดงเคยแต่ได้รับการเอาใจจากเจ้าของหนังตลอดมา แต่ในฐานะผู้อํานวยการสร้างเขาจะต้องเอาใจผู้อื่นบ้าง และเขาก็เอาใจคนไม่เป็นเสียอีก อารมณ์ของมิตรจึงเสียอยู่เสมอ พระเอกผู้แสนสุภาพ ก็กลายเป็น พระเอก ผู้มีแต่อารมณ์ฉุนเฉียว เพราะต้อง พบ กับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจตนบ่อยๆ แต่ผู้ร่วมงานก็พยายามอดทนสร้างหนังเรื่องนี้จนสําเร็จ ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่ได้ราบรื่นเลย เพราะเมื่อฉายหนังเรื่องนี้ให้เจ้าพนักงานเซนเซอร์ดู มิตร ชัยบัญชาก็ต้องพบกับความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง เพราะว่าเจ้าพนักงานเซนเซอร์ไม่ยอมอนุมัติให้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย โดยให้เหตุผลอย่างปัญญาอ่อนว่า เพราะมีคําว่า “ครุฑ” อยู่ใน ภาพยนตร์เรื่องนี้

ถ้าหนังเรื่อง “ครุฑดํา” ไม่ได้เข้าฉาย ก็หมายความได้ทันทีว่ามิตรจะต้องกลายเป็นคนล้มละลาย เขาหมดตัวแน่นอน เพราะเงินที่เขามีอยู่ทุกบาท ได้เทลงมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังต้องกู้เงินนายทุนอื่นๆ มาอีก หนังไม่ได้ฉายเขาก็ล้มละลายแน่ ในยามนี้มิตรแทบจะเหมือนคนบ้า เขาไม่รู้เลยว่าทําไมเจ้าพนักงานเซนเซอร์จึงกลั่นแกล้งเขาอย่างนี้ เขาปรารภกับผมอย่างเครียดๆที่หน้าเฉลิมกรุงในวันนั้นว่า

“ถ้าจะถือคําว่าครุฑเป็นของสูง ทําไมหนังเรื่องเล็บครุฑจึงฉายได้ ผมไม่เคยทําอะไรให้พวกเซนเซอร์เดือดร้อนเลย แล้วเขามาแกล้งผมทําไม?”
ผมก็ได้แต่ปลอบใจเขา บอกว่าอย่าไปคิดว่าถูกกลั่นแกล้งเลย พวกเซนเซอร์เขาอาจจะเห็นว่าไม่เป็นการสมควรก็ได้ เราก็รู้ๆ กัน อยู่ว่ากองเซนเซอร์หนังของเรานั้น แต่ละคนไม่ได้มีหลักการอะไรมากนัก ตัดสินทุกอย่างด้วย อารมณ์ของตนเท่านั้นเอง เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่าไปคิดเป็นเดือดเป็นแค้นเขาอยู่เลย หาทางวิ่งเต้นแก้ไขให้เหตุการณ์ที่ขึ้นจะดีกว่า

แน่ละ ถึงผมไม่บอกมิตรก็ต้องวิ่งเต้น เขาวิ่งเต้นเรื่องนี้อย่างหัวปักหัวป่า เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขารู้จัก และในที่สุดหนังเรื่องนี้ ก็ได้รับอนุมัติให้ฉายได้ เพียงแต่ต้องเปลี่ยนชื่อเรื่อง เพื่อเอาใจเซนเซอร์ เสียหน่อยเป็น “เหยี่ยวดํา” ด้วยความโกรธแค้น มิตรลั่นปากออกมาทันทีว่า เขาจะยุติการสร้างหนังของเขาแต่เพียงเท่านี้

นับแต่นั้น มิตรก็กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขึ้นเรื่อยๆ เขายิ่งเจ้าอารมณ์แค่ไหน ผู้อํานวยการสร้างก็ต้องเอาใจเขามากขึ้นเพียงนั้น หลายคนพากันเป็นห่วงว่า เขาอาจจะกลายเป็นโรคเส้นประสาทเข้าสักวันหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มิตรก็ค่อยลืมเหตุการณ์ที่สร้างความชอกช้ำใจนั้นไปเรื่อยๆ เขากลับมาเป็นคนที่ชอบสนุกร่าเริงได้อีก ชอบกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนฝูงต่อไปอีก แต่ตกมาในระยะนี้ คนอื่นๆมักจะยินยอมเป็นผู้ถูกกระเช้าแต่ฝ่ายเดียว เสียแหละมาก ไม่มีใครกล้าไปขัดใจเขา เพราะทุกครั้งที่มีอะไรขัดใจ มิตรมักจะกลายเป็นคนหุนหันขึ้นมาอีก อารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปรได้ง่ายเสียแล้ว

งานของมิตรเพิ่มจํานวนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผมก็ยังคงสนิทสนมกันเช่นเดิม ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ผมร่วมทุนกับเพื่อนคนหนึ่งคือ แดน กฤษดา สร้างหนังเรื่อง “อวสานอินทรีแดง” ขึ้น มิตรก็โดดเข้ามาร่วมงานด้วยอย่างกลมเกลียว เป็นที่รู้กันว่าถ้าสร้างหนังชุดอินทรีแดงขึ้นแล้ว เป็นไม่ต้องห่วง มิตรจะช่วยเหลืออย่างเต็มสติกําลัง เขาจะแสดงบทบาทของอินทรีแดงอย่างเต็มที่โดยไม่แคร์กับอะไรทั้งนั้น ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่สร้างหนังชุดอินทรีแดง มาแล้ว ทุกคนจะยอมรับกันทันที เครื่องแต่งกายชุดอินทรีแดงนี้ มิตรจะเก็บรักษาเอาไว้เป็นพิเศษ คือมีเสื้อ กางเกงสีดํา เข็มขัดริ้วแดงมีหัวเป็นรูปนกอินทรีถลาลงจับเหยื่อ หน้ากากตัดด้วยสักหลาดสีแดงเป็นรูปนกอินทรีกางปีก ขลิบด้วยหนังสีดําตามขอบ มีเส้นยางสีดําสําหรับรัดกับศีรษะ ชุดดังกล่าวทั้งหมดนี้ เขาจะเป็นผู้ตัดเอง และเก็บเอาไว้เองทั้งสิ้น โดยเฉพาะหน้ากากอินทรีแดงนั้นมิตรจะถนอมมันอย่างยิ่ง และมีวิธีการที่จะเก็บรักษาไว้อย่างไม่ให้ชอกช้ำเสียหายเป็นพิเศษ มิตรรักอินทรีแดงไม่ใช่เพราะถูกใจในแคแรคเตอร์ ของอินทรีแดงเท่านั้น แต่ยังเพราะว่าบทบาทของอินทรีแดง ที่ทําให้เขาโด่งดังจนเป็นพระเอกยอดนิยมอีกด้วย

ในด้านของสตรีเพศ มิตรไม่เคยมีเรื่อง เสียหายใด ๆ เกิดขึ้นเลย ทุกคนรู้ดีว่ามิตรถึงจะเป็นคนรูปหล่อ เป็นพระเอกหนัง แต่มิตร ก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้ ตรงข้าม มิตรมักจะหลีกเลี่ยง เมื่อต้องผจญกับสาวๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่อย่างไรก็ตาม มิตรเป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ใช่พระอรหันต์เจ้า รูปรสกลิ่นเสียงจึงยังมีอิทธิพลต่อเขาบ้าง ผมเองก็รู้ดีว่ามิตรมีความสัมพันธ์กับหญิงคนใดบ้าง แต่เมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ทุกคนก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา และเมื่ออยู่กันเป็นส่วนตัวเราก็เพียงแต่ล้อเลียนกันเป็นเรื่องสนุกไปเท่านั้น และที่ออกจะอื้อฉาวกันสักหน่อยก็เห็นจะเป็นเมื่อตอนที่ดาราสาวจากฮ่องกง คริสติน เหลียง เข้ามาถ่ายหนังในเมืองไทยนั่นแหละ แต่เมื่อพูดกันถึงเรื่องนี้ทีไร มิตรก็จะได้แต่ยิ้ม และไม่ยอมตอบอะไรทั้งสิ้น ถ้าถูกเร้าถามหนักขึ้น มิตรก็จะตอบ เพียงว่า “เหลียงมันมาจากต่างแดน เราเป็น เจ้าของบ้านก็ต้องรับรองเขาหน่อยซิ” เท่านี้ก็เรียกเสียงฮาจากเพื่อน ๆ ได้แล้ว เพราะคนในวงการรู้ดีว่า มิตรไม่ชอบเปิดเผย เรื่องของเขาที่เกี่ยวกับผู้หญิง นอกจากว่าเขาจะปิดไม่มิดเท่านั้นเอง

กิ่งดาว ดารณี เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ มิตรรัก และเขาก็ปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ได้ ทุกคนรู้กันดีว่ามิตรกับกิ่งดาวมีความสัมพันธ์กันแค่ไหน ในขณะที่มิตรกับกิ่งดาวยังรักกันอยู่นั้น มิตรค่อยบรรเทาความเป็นคนเจ้าอารมณ์ลงบ้าง เขามีอารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอ ยิ่งถ้าเวลาถ่ายหนังและมีกิ่งดาวมาเข้าฉากด้วย มิตรจะมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ใครจะล้อเลียนอย่างไรก็ไม่โกรธ เล่นหัวเฮฮาด้วยอย่างสนุก หรือถ้ามีใครขัดใจขึ้นมาจนเขาต้องทําหน้าบึ้ง เพียงแต่ กิ่งดาวมาเห็นเข้าแล้วบอกว่า “ไม่เอาน่า พี่เชษฐ์ ทําหน้ายังงี้ไม่เห็นจะสวยเลย” เพียงเท่านี้มิตรก็จะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้ม ไล่เตะเจ้าคนที่ขัดใจเขาเป็นการสนุกไป นั่นคือความหลัง แต่บัดนี้คุณผู้อ่านก็คงจะได้รู้กันหมดแล้วว่า ความเกี่ยวพันระหว่าง มิตรกับกิ่งดาวลงเอยกันอย่างไร และมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่เข้ามาพัวพันกับชีวิตของมิตร

ในด้านการเงิน เมื่อแสดงหนังมากเข้า การเงินของมิตรก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะแรกเขาปรับปรุงบ้านของเขาที่ถนนพะเนียง นางเลิ้ง เป็นการใหญ่ เขาตบแต่งห้องรับแขกกะจ้อยร่อยของเขาเสียงามหรู ห้องนอนซึ่งกว้างไม่ ตารางเมตร ก็ติดเครื่องปรับอากาศ และเขาจะดีใจมาก ถ้ามีเพื่อนฝูงไปนั่งเล่นไพ่กับเขาในยามว่าง มิตรชอบเล่นไฟรมมี่เป็นที่สุด และมีฝีมือในการเล่นสูงเสียด้วย ไพ่ฮอทด็อกหรือไพ่ตีแตกก็เป็นอย่างหนึ่งที่มิตรชอบ พบใครเล่น ที่ใหนเขามักจะร่วมวงด้วยแทบทุกครั้ง แม้ขณะที่กําลังถ่ายทําหนังอยู่ก็เอา และเขามักจะเป็นผู้โชคดีในการพนันประเภทนี้เสียด้วย แต่ก็นั่นแหละ คนที่โชคดีทางการพนัน มักจะโชคร้ายในทางอื่น ภาษิตฝรั่งข้อนี้เป็น ความจริงทีเดียว มิตรโชคร้ายในความรัก กิ่งดาว ดารณีเว้นตัวออกไปจากอ้อมอกของเขา ความผิดหวังในความรักทําให้ มิตร ชัยบัญชา กลับมาเป็น คนเจ้าอารมณ์ อีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าเดิมอีกด้วย เขากลายเป็นคนที่หงุดหงิดเกือบทั้งวัน บางครั้งเหมือนคนบ้า เขาไม่ฟังใครอีกแล้ว กลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเองจนทุกคนต้องยอมให้เขา เพราะบัดนี้มิตรเป็นดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะขัดใจเขาได้ และถ้าเขาปักใจ มีความเห็นเป็นอย่างใดแล้วทุกคนไม่มีทางจะคัดค้านเป็นอย่างอื่น ผู้อํานวยการสร้างทุกคน จะต้องยินยอมตามใจเขา แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

ในขณะที่มีเงิน มิตรเริ่มลงหลักปักฐานของเขาด้วยการซื้อที่ดินไว้หลายแห่ง ปลูกบ้านให้ฝรั่งเช่า และปลูกบ้านพักงดงามไว้ที่สระบุรีบนที่ดินอันกว้างขวาง การกระทําเช่นนี้ของเขาเป็นที่ชื่นชมแก่พรรคพวกเพื่อนฝูงทุกคน เพราะมองเห็นได้ชัดว่าในอนาคตมิตรจะ เป็นผู้ที่มีหลักฐานมั่นคงอย่างแน่นอน ถึงกระนั้น มารร้ายก็ยังเข้ามาผจญอีกจนได้

เมื่อโชคร้ายจากความรัก มิตรก็โดดเข้ามาเล่นการเมืองบ้าง ไม่มีใครรู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนมันบันดาล ให้มิตรปักใจลงไปเช่นนั้น มิตรสมัครเข้ารับเลือกตั้งสมาชิก เทศบาลกรุง เทพฯ ก่อน ใช้เงินในการหาเสียงเป็นล้านและ ผลก็คือเขาพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง เมื่อมีการสมัครผู้แทนราษฎร มิตรก็โดดเข้าสมัครอีก เขาขายที่ดินและบ้านหลายแห่งเพื่อนําเงินที่ได้ มาจากหยาดเหงื่อของเขาทุ่มลงไปในการหาเสียง งานแสดงของเขาขอหยุดเอาไว้ก่อน ใครมาจ้างก็ยังไม่รับ มิตรหาเสียงอย่างทุ่มตัว แต่ถึงกระนั้นเสียงของเขาก็ยังสู้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ เขาพ่ายแพ้แก่พรรคประชาธิปัตย์ เพียงพรรคเดียวเท่านั้น คะแนนเสียงที่ประชาชนให้เขาด้วยความรักนั้นทําให้เขา ชนะพรรคสหประชาไทยอย่างขาดลอยที่เดียว

มิตรจนลงไปมาก แต่ไม่ใช่หมดตัว เขายังมีที่ดินในกรุงเทพฯ อีกหลายโฉนด มีตึกที่ใหญ่ราวกับวังเจ้า ตบแต่งสวยงามด้วยเงินหลายแสนเมื่อผิดหวังจากการเมือง มิตรก็เล่นหนังอีก เขาเล่นหนังอย่างหามรุ่งหามค่ํา ทั้งกลางวันและกลางคืน เดือนหนึ่งเขากําหนดวันพักของเขาเพียงวันเดียว คือวันที่สิบห้าของทุกเดือน แต่ถึงกระนั้นบางครั้งเขาก็ทนการออดอ้อนของผู้สร้างไม่ไหว ต้องไปถ่ายทําในวันที่สิบห้าให้ก็มี มิตรทํางานอย่างเหน็ดเหนื่อย เขามีบ้านที่ปลูกใหม่ใหญ่เหมือนวังเจ้า แต่เขาก็ไม่ค่อยจะได้มีความสุขกับบ้านของเขาเท่าไรนัก วันหนึ่งเขาจะได้อยู่บ้านอันโอ่อ่าของเขาเพียงสองสามชั่วโมง นอกนั้น เขาจะมีชีวิตร่อนเร่ อยู่ท่ามกลางแสงแดด แผดเปรี้ยง กลางแสงไฟอันร้อนระอุ นอนกลางดินกินกลางทราย เหมือนกับคนไม่มีบ้านจะอาศัย ทั้ง ๆ ที่ห้องนอนของเขานั้นจัดไว้อย่างหรู ที่นอนนุ่มปูบนเตียงกว้างใหญ่ แต่เจ้าที่นอนอันนั้นจะมีบุญ ได้รองรับร่างของเขาเพียงเดือนละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง อนิจจา

มิตรตะลุยงานต่อไปอีกอย่างไม่ย่อท้อ เขารู้ดีว่าอนาคตของการเป็นพระเอกนั้นมันจะมี อยู่อีกไม่กี่ปีนัก เมื่อสังขารของเขาเสื่อมลง ความนิยมในตัวเขาก็จะลดน้อยลงไป เพราะแฟนหนังไทยไม่ยอมรับพระเอกที่แก่แล้ว ไม่ เหมือนเมืองนอกที่ดาราอายุหกสิบแล้ว ก็ยังเป็นพระเอกได้อยู่ มิตรปรารถนาที่จะใช้ชีวิตในยามแก่อย่างสงบสุข เขาจึงต้องหาเงินมาสร้างหลักฐานให้ดีเสียแต่ในตอนนี้ มิตรตั้งใจว่าจะเป็นพระเอกอีกเพียงสองปีเท่านั้น ต่อ จากนั้น เขาจะอยู่ในวงการภาพยนตร์ด้วยการเป็นผู้กํากับการแสดง เขาต้องการอย่างนี้จริงๆ ดังนั้นเขาจึงเริ่มงานกํากับการแสดงด้วย การเป็นผู้ช่วยก่อน การที่เขาเคยถูกกํากับมานับร้อยเรื่อง ทําให้เขามีความรู้ในเรื่องนี้เป็น อย่างดี เขาเคยซุ่มกํากับหนังมาหลายเรื่องแล้ว เช่นเรื่อง “จ้าวถิ่น” ที่ฉายที่เอมไพร์เขาก็มีส่วนกํากับอยู่หลายฉาก จนกระทั่ง เมื่อต้นปีนี้เอง อนุชา แสงผล ผู้ดําเนินงานสร้างของบริษัทสมนึกภาพยนตร์ ก็ได้มาขอซื้อเรื่องจากผม เพื่อนําไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และผมก็ได้มอบเรื่องชุดอินทรีแดงตอน “อินทรีทอง” ให้เขา และอนุชาก็ขอร้องให้ผมเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ด้วย โดยจะถ่ายทําในระบบ ๓๕ มม. ซีเนมาสโคป เสียงในฟิล์ม

เมื่อเป็นชุดอินทรีแดง ก็แน่ละ ผู้ที่เป็นพระเอกจะเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจาก มิตร ชัยบัญชา โอกาสอันงดงามมาถึงแล้ว ชุดอินทรีแดง ก็เป็นชุดที่รักที่สุด มิตร ชัยบัญชาขอเข้าเป็นผู้กํากับการแสดงเรื่องนี้ทันที เขาขอกำกับเรื่องนี้คนเดียวอย่างภาคภูมิเพื่อแสดงฝีมือของเขาต่อประชาชน

ผมหยุดงานเขียนเกือบเดือนเพื่อสร้างบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยไปเช่าบังกาโล เขียนที่ แหลมฟาน ศรีราชา ระหว่างที่เขียนบทอยู่ที่นั่น มิตรได้เดินทางไปหารือกับผมถึงที่นั่นหลายครั้ง เขาเอาใจใส่กับเรื่องนี้อย่างที่สุด ออกความคิดต่างๆ เท่าที่เขาจะคิดได้ และ เมื่อเริ่มงานถ่ายทํา มิตรก็สามารถกํากับการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม (ซึ่งท่านจะเห็นฝีมือของเขาในภาพยนตร์ด้วยตาเอง) ตลอดทั้งเรื่องมิตรดําเนินการถ่ายทําเรื่องนี้ ตามบทที่ผม เขียนไว้ทุกอย่าง เขาไม่เคยละเมิด “แหก” บทโดยไม่ปรึกษาผมเลย งานดําเนินไปด้วยความเรียบร้อยถูกใจเขาและทุกคนเป็นอย่างดี เมื่อถ่ายทําไปได้บ้าง และส่งฟิล์มไปล้างที่ฮ่องกง จนกระทั่งทางฮ่องกงส่งฟิล์ม “เวอรค์ปริ้นท์” มาให้ตัดต่อ มิตรก็ฉายภาพยนตร์ที่ถ่ายทําไปแล้วนั้นดูที่บ้านของเขา เขาดูมันด้วยความอิ่มเอิบและภาคภูมิใจอย่างที่สุด เพราะภาพที่ปรากฏอยู่บนจอนั้นล้วนแต่สมใจเขาทั้งสิ้น ความถูกใจทําให้เขาถึงกับลั่นปากกับ อนุชา แสงผลว่า “ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เงิน คุณมาตัดคอผมเอาไปเลย” แต่ทุกคนก็ไม่มีใครคิดว่าจะได้ตัดคอมิตร เพราะเห็นกันทนโท่อยู่แล้วว่า ฝีมือของมิตร ทําให้หนังมีรสมีชาติสาสมใจยิ่ง มิตรให้ความสนใจกับอินทรีทองชนิดไม่ยอมห่าง เขากิน นอนอยู่ในห้องตัดต่อหนังนั่นแหละ ภาคภูมิใจกับฝีมือของตัวเอง หลายครั้งที่เขานอนหลับอยู่บนพื้นห้องตัดต่อนั่นเอง นอนโดยไม่ต้องมีเสื่อหรือหมอน นอนกับพื้นแท้ๆ และเขาก็หลับอย่างคนที่มีความสุข บนพื้นที่เปื้อนฝุ่นนั้นแหละ
การถ่ายทําดําเนินเรื่อยไป จนกระทั่งถึงฉากสุดท้าย ซึ่งยกกองไปถ่ายทําที่พัทยา ตําบลชายทะเลแห่งหนึ่งของเมืองไทย มาฉากสุดท้ายของเรื่องนี้ก็คือ ฉากที่ตํารวจน้ำและตํารวจกองปราบยกกําลังเข้าทลายกองบัญชาการของเหล่าร้ายบนเกาะกลางทะเลอย่างน่าตื่นเต้น มีการใช้เรือเร็วของตํารวจน้ำและ เฮลิคอปเตอร์ ของตํารวจเข้าร่วมด้วยการถ่ายทําดําเนินไปอย่างเรียบร้อยสมใจมิตร ซึ่งเป็นผู้กํากับ จนมาถึงช้อตสุดท้ายของเรื่อง ซึ่งหมายถึงการจบเรื่องด้วย

และการช้อตนี้เองที่มิตร ชัยบัญชา ตัดสินใจแก้บทภาพยนตร์ของผมเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งสุดท้าย

ตามบทภาพยนตร์เดิม ที่ผมเขียนไว้นั้น ช้อตสุดท้ายของเรื่องจะจบลงภายในตึกที่ทําการของเหล่าร้าย หลังจากที่ปราบเหล่าร้ายเสร็จสิ้นลงแล้ว ภาพจะอยู่ที่พระเอกและนางเอกยิ้มให้กันอย่างสดชื่น (เพราะตามเรื่องนั้น คนอื่น นอกจากนางเอกแล้ว จะไม่รู้เลยว่าพระเอกคือ อินทรีทอง ที่เข้ามาปราบอินทรีแดงตัวปลอม จนสําเร็จ) แต่มิตรได้แก้บทตอนนี้เสียใหม่ คือแทนที่พระเอกนางเอกจะอยู่ในตึกนั้น เขาแก้ให้เป็นนางเอกขับเฮลิคอปเตอร์มารับเขายัง ที่แห่งหนึ่ง และเขาก็แต่งชุดอินทรีทอง (คือ ชุดสีดําที่เขาชอบมาก) มายืนคอยอยู่ที่จุดนั้น เมื่อนางเอกหย่อนบันไดลงมาเขาก็โดดขึ้นเกาะบันไดให้นางเอกขับเฮลิคอปเตอร์ พาเขาเหินลอยขึ้นไปบนอากาศห่างกล้องออกไป เมื่อ ภาพที่เขาโหนบันไดห่างออกไปแล้วก็ซ้อนตัว อักษร “อวสาน” วิ่งสวนทางกลับเข้ามา ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมากตามความฝันของเขา

การแก้บทตอนนี้ไม่มีใครคัดค้าน เพราะเห็นว่าเป็นภาพที่สวยงามที่อย่างที่มิตรว่า และทุกคนก็คิดว่ามิตรจะสั่งถ่ายทําที่ชายทะเลนั้นเอง แต่มิตรกลับไม่ยอมใช้ชายทะเลเป็นที่ถ่ายทํา เขากลับมาเลือกเอาสถานที่ ซึ่งเป็นป่าย่อมๆ แห่งหนึ่งหลังอ่าวดงตาลเป็นจุดที่ถ่ายทํา ตรงนี้เองที่วิเชียร วีระโชติ ช่างภาพได้ค้านว่า เหตุเกิดที่บนเกาะ ฉะนั้นนางเอกควรจะมารับที่ชายทะเลจึงจะดูสมควรกว่า แต่มิตรก็ไม่เห็นด้วย เขาเห็นว่าภูมิภาคตรงนี้จะสวยกว่า

สําหรับชีวิตของมิตร ชัยบัญชา ซึ่งด้อยวาสนา ตลอดเวลา ๒๓ ปีแรกของเขามีแต่ความยากจน ค่นแค้น ต้องต่อสู้ชีวิตอย่างตีนถีบปากกัด และตลอดเวลา ๑๓ ปีหลังที่ถึงแม้จะมีชื่อเสียงกระเดื่องเกียรติ มีหลักทรัพย์และนิวาสถานอันโอ่อ่า แต่เขาก็ไม่ได้เสพสุขกับมัน ให้สาสมกับความเหน็ดเหนื่อยที่สร้างมันขึ้นมาเลย ชีวิตของมิตรเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยสาหัสมาโดยตลอด หวังจะเอาความสุขสบายเมื่อหน้า แต่ก็ไม่อาจจะไปถึง อนิจจาเอ๋ย  จบกันทีเถิด สําหรับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาบําเรอความสุขให้แก่ผู้อื่น จบกันทีกับชีวิตที่ ต้องเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ทรมาน บัดนี้เขาได้รับความสุขอันแท้จริงแล้ว เขาจะได้นิทราอย่างสนิทตลอดไปโดยไม่มีใครมารบกวนได้อีก ชีวิตของเขาเหน็ดเหนื่อยมาเหลือเกินแล้ว ให้ เขาไปพักผ่อนเถิด อย่าไปรบกวนเขาอีกเลย เขาได้พบกับความสันติวิเวกแล้ว

จงเป็นสุขๆ เถิด มิตร ชัยบัญชา ที่รัก เพื่อนตายไปแต่เพียงร่างเท่านั้น แต่ชื่อและ ความดีของเพื่อนยังอยู่ และจะยืนยงอย่างนี้ไปจนชั่วกาลปาวสาน เป็นสุขเถิด เพื่อนรัก

“เศก ดุสิต ๑๖ ต.ค. ๑๓

cr. -ขอบคุณข้อมูลจากเพจ A ThaiMOViePosters A
ที่มา มิตร ชัยบัญชา

Share this article :

แสดงความคิดเห็น