Home » » สี่แพร่ง

สี่แพร่ง


หนังสี่แพร่ง สี่เรื่องจาก สี่ผู้กำกับอินเตอร์ สี่แนวทางเขย่าขวัญจากผู้กำกับหนังผีเจเนอเรชั่นใหม่ แห่งค่าย GTH จะ ทำอย่างไรเมื่อความกลัวมีหลายรูปแบบ กลัวเมื่อได้รับข้อความจาก คนตาย กลัวเมื่อต้องโดน คนตาย เอาคืน กลัวเมื่อต้องนอนติดกับ คนตาย และกลัวเมื่อต้องร่วมเดินทางไปกับ ศพ

สี่ยอดผู้กำกับหนังสยองขวัญ อย่าง บรรจง ปิสัญธนะกูล และ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ (ผู้ กำกับ ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ และ แฝด) , ปวีณ ภูริจิตปัญญา (ผู้ กำกับ บอดี้ ศพ #19 บวกกับอีกหนึ่งรุ่นใหญ่ อย่าง ยงยุทธ ทองกองทุน จากผู้กำกับหนังผีเห็นผี แก็งค์ชะนีกับอีแอบ และโปรดิวเซอร์ ภาพยนตร์เรื่อ แฝด และ บอดี้ ศพ# 19) ทุกคนได้รับอาสากำกับผลงานที่แตกต่าง แหวกทาง และกระตุกจิตแบบของตัวเอง คนละ 25 นาที ร่วมกับนักแสดงนักแสดงชั้นนำอย่าง เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ (พลอย) ,มณีรัตน์ คำอ้วน (เอ๋) ,วิทวัส สิงห์ลำพอง (บอล) ,อภิญญา สกุลเจริญ(สายป่าน) ,ณัฏฐพงศ์ ชาติพงศ์ (ฟรอยด์) ฯลฯ

ตอน เหงา ( ยงยุทธ ทองกองทุน )
ความเหงา สามารถทำให้ผู้หญิงทำอะไรโง่ๆได้หลายอย่าง ดังเช่นสาวออฟฟิศในเรื่องนี้ เธอเหงา เธอตกงาน เธอโดนทิ้ง เธอหดหู่สุดขีด เมื่อมีข้อความเข้ามาในมือถือว่า “อยากรู้จัก” เธอจึงเริ่มต้น SMS กับคนที่เธอจะต้องเสียใจ

ตอน Last Fright ( ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ )
รวมมิตรสุดยอดของอาการ Phobia ทุกรูปแบบ นี่คือเที่ยวบินที่ไม่เหมาะสำหรับคนกลัวที่แคบ เสียงดัง แรงสั่นสะเทือน ความกดอากาศ ความมืด และ ศพ ทั้งหมดนี้รอต้อนรับแอร์โฮสเตสสาวคนหนึ่ง ในไฟลท์ที่เธอต้องเผชิญมันเพียงลำพัง

ตอน ยันต์สั่งตาย ( ปวีณ ภูริจิตปัญญา )
จินตนาการถึงวิธีการเอาคืนแบบเด็กๆ อย่างการเขียนกระดานดำล้อชื่อพ่อเพื่อน แล้วลองจินตนาการถึงการเอาคืนของเด็กช่างกลกลุ่มนี้ที่เลือกวิธีเขียนยันต์ สั่งตาย แช่งคนที่พวกเขาเกลียดขี้หน้า จินตนาการดูซิว่า ดีกรีความโหดมันจะสุดขั้วกว่ากันแค่ไหน

ตอน คนกลาง ( บรรจง ปิสัญธนะกูล )
วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งออกไปตั้งเต๊นท์กลางป่าลึก พวกเขาล้อมวงเล่าเรื่องผี ทำกิจกรรมห่ามๆไร้สาระตามขนบหนังสยองขวัญทุนต่ำทุกประการ แต่ไฉนผีที่พวกเขาประสบพบเจอ กลับเป็นผีที่แหกธรรมเนียมปฏิบัติผีในหนังทุกเรื่องที่พวกเขาเคยดูมา

สี่แพร่ง ภาพยนตร์อภิมหาขวัญผวามากที่สุดแห่งปี จาก สี่ผู้กำกับที่เฟ้นระดับหัวกะทิ ระดมสุดยอดมือชั้นเซียนแนวทริลเลอร์ อุดมด้วย สี่รสชาติของหนังผีแนวใหม่ ที่จะทำให้ขนหัวลุกแบบไม่ทันตั้งตัว พร้อมการันตี สี่ผู้กำกับโกอินเตอร์ ด้วยรางวัล และผลงานในต่างประเทศมากมายเรื่องราวเป็นส่วนผสมใหม่ที่สามารถทำให้ขนหัวลุก และสยองขวัญในแบบฉบับที่ไม่เหมือนเคย ทั้งอารมณ์เหงา เศร้า สนุก คึกคะนอง รวมทั้งเป็นการรวมพลนักแสดงชั้นนำรุ่นใหม่ๆที่ฝีไม้ลายมือจัดจ้านไว้อีกมากมาย

นักแสดง
เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ ( Last Fright )
มณีรัตน์ คำอ้วน ( เหงา )
อภิญญา สกุลเจริญสุข ( ยันต์สั่งตาย )
วิทวัส สิงห์ลำพอง ( ยันต์สั่งตาย )
ชล วจนานนท์ ( ยันต์สั่งตาย )
ปลาย ปรเมศร์ ( Last Fright )
ณัฎฐพงษ์ ชาติพงษ์ ( คนกลาง )
พงศธร จงวิลาศ ( คนกลาง )
วิวัฒน์ คงราศรี ( คนกลาง )
กัน ตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข ( คนกลาง )

ที่มา : บริษัทผู้สร้าง จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ภาพยนตร์

วันที่เข้าฉาย: 24 เมษายน 2551

ความกลัวมีหลายรูปแบบ…กลัวเมื่อได้รับข้อความจาก “คนตาย”

กลัวเมื่อต้องโดน “คนตาย” เอาคืน

กลัวเมื่อต้องนอนติดกับ “คนตาย” และ

กลัวเมื่อต้องร่วมเดินทางไปกับ “ศพ”

คุณจะทำอย่างไร ?!

เมื่อความกลัว จู่โจมจากทุกทาง !!!

“4 แพร่ง” ภาพยนตร์อภิมหาขวัญผวามากที่สุดแห่งปี จาก 4 ผู้กำกับที่เฟ้นระดับหัวกะทิ ระดมสุดยอดมือชั้นเซียนแนวทริลเลอร์

…อุดมด้วย 4 รสชาติของหนังผีแนวใหม่ ที่จะทำให้ขนหัวลุกแบบไม่ทันตั้งตัว พร้อมการันตี 4 ผู้กำกับโกอินเตอร์ ด้วยรางวัล และผลงานในต่างประเทศมากมาย

…จีทีเอช ระทึกใจเสนอภาพยนตร์ “สี่ แ พ ร่ ง” จากผลงานการกำกับของ 4 เสือ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงผีผี…

“สิน ยงยุทธ ทองกองทุน” ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและดูแลการผลิตหนังผีทุกเรื่องของจีทีเอช

“โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล” และ “โอ๋ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ” 2 ผู้กำกับจากภาพยนตร์เขย่าขวัญ “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” และ “แฝด”

“กอล์ฟ ปวีณ ภูริจิตปัญญา” ผู้กำกับ “บอดี้ ศพ#19” กับฉายา “เจ้าพ่อซีจี”

…จุดเริ่มต้นการรวมตัวของ 4 เสือ มาจากการคันไม้คันมืออยากทำหนังผีแนวใหม่ๆ เลยเริ่มชักชวนกันมาทำ หาหนทางใหม่ ๆ รสชาติใหม่ ๆ เพื่อจะแหกความคิดที่ว่า “ฤา หนังผีจะถึงทางตันเข้าซะแล้ว” และทันทีที่ 4 ผู้กำกับร่วมหัวช่วยกันคิด ทั้งหมดก็พร้อมใจกันตบเข่าฉาด พร้อมไอเดียใหม่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างฉับพลัน บวกกับแต่ละคนก็มีของกันอยู่แล้ว เลยชักมันมืออยากปล่อยของสนุก ๆ แบบหลอน ๆ กันอย่างสุดฤทธิ์

…สุดท้ายก็ปิ๊งไอเดีย ตกลงปลงใจที่จะทำหนังผีกันแบบ 4 เรื่อง 4 รส ในสไตล์ของตัวเอง หักมุมผ่านสายตาการเล่าเรื่องของผู้กำกับทั้ง 4 คน เป็นส่วนผสมใหม่ที่สามารถขนหัวลุกและสยองขวัญในแบบฉบับที่ไม่เหมือนเคย ทั้งอารมณ์เหงา เศร้า สนุก คึกคะนอง รวมทั้งเป็นการรวมพลนักแสดงชั้นนำรุ่นใหม่ ๆ ที่ฝีไม้ลายมือจัดจ้านไว้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พลอย -เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, เอ๋ – มณีรัตน์ คำอ้วน, บอล -วิทวัส สิงห์ลำพอง, สายป่าน – อภิญญา สกุลเจริญ, ฟรอยด์ – ณัฏฐพงศ์ ชาติพงศ์ ฯลฯ รับรองว่า “สี่แพร่ง” จะทำให้คุณเสียวสันหลัง ขนลุกซู่ และไคลแม็กซ์ได้ตลอดทั้งเรื่อง!!!

…24 เมษายนนี้ สี่แพร่ง จะทำให้คุณ ตื่นเต้น ระทึก สนุก และเสียวกระตุก เหมือนตกอยู่ในสวนสนุกตลอดทั้งเรื่อง!!!

ทีมงานสร้าง : สยองขวัญ (แนวภาพยนตร์) / จีทีเอช (บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย) / บริษัท จอกว้าง ฟิล์ม จำกัด (ดำเนินงานสร้าง) / ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม, บุษบา ดาวเรือง, วิสูตร พูลวรลักษณ์, จินา โอสถศิลป์ (อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร) / จิระ มะลิกุล, ยงยุทธ ทองกองทุน, เช่นชนนี สุนทรศารกูล, สุวิมล เตชะสุปินัน (อำนวยการสร้าง) / ยงยุทธ ทองกองทุน, ปวีณ ภูริจิตปัญญา, ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ, บรรจง ปิสัญธนะกูล (บท-กำกับภาพยนตร์), เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ (ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์), นิรมล รอสส์, สมบุญ โพธิ์พิทักษ์กุล (กำกับภาพ) / วิชชพัชร์ โกจิ๋ว, ธรรมรัตน์ สุเมธศุภโชค, ปวีณ ภูริจิตปัญญา, สุรวุฒิ ตุงคะรักษ์ (ลำดับภาพ), HUBHOHIN BANGKOK, ปานใจ ศิริสุวรรณ, ณัฐพัชร์ ล้อธีรพันธ์ (คัดเลือกนักแสดง) / Ben Wilkins (M.P.S.E) (ออกแบบเสียง) / ห้องเสียงกันตนา (บันทึกเสียง) / เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน, หัวลำโพง ริดดิม (ดนตรีประกอบ), บริษัท เซนต์อาร์ต จำกัด, อรรคเดช แก้วโคตร (ออกแบบงานสร้าง) / โสภณ พูลสวัสดิ์ (กำกับศิลป์), เอกศิษฎ์ มีประเสริฐสกุล, ฐาดิณี รัชชระเสวี (ออกแบบเครื่องแต่งกาย)

นำแสดงโดย : มณีรัตน์ คำอ้วน (เหงา) / อภิญญา สกุลเจริญสุข, วิทวัส สิงห์ลำพอง, ชล วจนานนท์ (ยันต์สั่งตาย) / ณัฎฐพงษ์ ชาติพงศ์, พงศธร จงวิลาศ, วิวัฒน์ คงราศรี, กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข (คนกลาง) / เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, ปลาย ปรเมศร์ (Last Fright)

เหงา

แพร่งที่ 1 เรื่อง “เหงา” (โดย “ยงยุทธ ทองกองทุน” นำแสดงโดย “มณีรัตน์ คำอ้วน”)

…ความเหงา สามารถทำให้ผู้หญิงทำอะไรโง่ ๆ ได้หลายอย่าง ดังเช่น สาวออฟฟิศในเรื่องนี้

…เธอเหงา เธอตกงาน เธอโดนทิ้ง เธอหดหู่สุดขีด เมื่อมีข้อความเข้ามาในมือถือว่า “อยากรู้จัก” เธอจึงเริ่มต้น SMS กับคนที่เธอจะต้องเสียใจ

…ระดับความน่ากลัว ตื่นเต้น และเสียวสะท้าน เทียบได้กับการได้ไปเที่ยวในสวนสนุกแล้วขึ้นไปเล่น “Tower Hell Drop” หรือ “เครื่องทิ้งดิ่งสุดสยอง” ที่จะค่อย ๆ พาเราขึ้นไปจนถึงจุดสุดยอดก่อน แล้วจะทิ้งตัวลงมาเบื้องล่างในแนวดิ่งอย่างรวดเร็วจนเราเสียวสันหลังวาบ สะท้านไปถึงร่องตุ๊ดส์ และกลัวแทบสิ้นสติ ไม่สามารถเก็บความรู้สึกที่พลุ่งพล่านเอาไว้ได้ ต้องร้องกรี๊ด…เสียงหลงเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ภายในออกมาอย่างบ้าคลั่ง!

…เรื่อง “เหงา” ก็เป็นเช่นนั้น! เป็นความกลัวในแบบใกล้ตัว! ที่ผู้กำกับต้องการสื่อให้คนดูมีอารมณ์ร่วมและหวาด กลัวไปกับสถานการณ์ที่ใกล้ตัวมาก จนเกิดอาการเย็นสันหลัง ขนลุกซู่โดยไม่ต้องมีเสียง เป็นเรื่องที่เล่นกับความ รู้สึกที่เราคุ้นเคย โดยผู้กำกับจะค่อย ๆ หลอกให้เราเข้าไปติดกับทีละเล็ก ทีละน้อย จนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะ เวลานั้นเราก็ไม่สามารถกลับตัวได้ทันซะแล้ว ทำให้เราตกอยู่ในภาวะเสียววูบ เย็นวาบอย่างบอกไม่ถูก และไม่ทันได้ตั้งตัวซะด้วยซ้ำ!

“เหงา” เป็นความเหมือนจริง เป็นความน่ากลัวของคนเมือง ที่ถึงแม้จะมีแสงสีมีความวุ่นวายอย่างไร แต่ก็ยังเกิดความน่ากลัวขึ้นจนคุณสัมผัสได้ ไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีมือถือ หรือการส่ง SMS เป็นปัจจัยที่ 5 ของเราไปแล้ว และอะไรจะเกิดขึ้นถ้ามีหญิงสาวคนหนึ่ง มีความจำเป็นต้องอาศัยอยู่คนเดียวในห้องแคบ ๆ แล้วได้รับการติดต่อผ่าน SMS จากคนแปลกหน้า โดยที่เธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเค้าเป็นใคร มาจากไหน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดในห้องของเธอ…

…จากผู้กำกับ สตรีเหล็ก 1 และ 2, แจ๋ว, แก๊งชะนีกับอีแอบ “สิน ยงยุทธ ทองกองทุน” ผู้กำกับมากมายอารมณ์ขัน ที่คว้ารางวัลมานักต่อนักและผลงานก็เป็นที่ชื่นชอบทั้งในและต่างประเทศมาแล้ว แต่ที่ตัดสินใจพลิกจากคอเมดี้มากำกับหนังแนวเขย่าขวัญเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกอย่างเต็มตัว เป็นเพราะมีความตั้งใจอยากทำหนังสยองขวัญในอีกอารมณ์หนึ่งที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนักในไทย โดยมีสิ่งที่ท้าทายมากที่สุดนั่นคือ อยากให้หนังเรื่องนี้ดูคุ้นเคยจนน่าขนลุก เรียกว่าดูหนังจบคนดูอาจจะไม่อยากได้รับ SMS จากใครอีกเลยก็ได้ ซึ่งในฐานะผู้กำกับหนังผีน้องใหม่ แต่ฝีมือไม่ใหม่รับประกันว่า เป็นผลงานของมือใหม่หัดขับที่อยากให้ลอง รับรองว่าจะทำให้คุณหลอนและเย็นวาบไปทั้งตัวแน่นอน ผู้กำกับผีรุ่นพี่อย่าง โต้ง, โอ๋, กอล์ฟ ยกนิ้วรับประกัน ของแท้ ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม !

…ความแปลกและน่าสนใจอีกอย่างของเรื่องนี้คือ ตลอด 30 นาทีของหนังเรื่องนี้จะมีแค่นักแสดงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เล่นอยู่ในหนังทั้งเรื่อง ไม่มีนักแสดงคนอื่นปรากฏตัวอยู่เลย และไม่มีบทสนทนาพูดคุยเลยจนจบเรื่อง คนที่จะมาถ่ายทอดบทนี้ต้องทำได้หลากหลายอารมณ์และต้องชัดเจน ทั้งอารมณ์ดี รื่นเริง เหงา เศร้า หรือกลัวสุดขีด เพราะหนังค่อนข้างสั้นและอารมณ์ทั้งหมดก็ต้องถูกถ่ายทอดผ่านใบหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ต้องใช้จินตนาการเองล้วนๆในตอนแสดง ซึ่งนักแสดงต้องทำการบ้านหนักมาก และคนที่ต้องรับบทหนักในบทนี้ก็คือ “เอ๋ มณีรัตน์ คำอ้วน” ที่ผู้กำกับตั้งใจเลือกเธอมาโดยเฉพาะ

…สาเหตุที่เลือก “เอ๋” ให้แสดงบท “ปิ่น” ในเรื่องนี้เนื่องจาก ผู้กำกับเห็นความน่าสนใจในตัว “เอ๋” หลาย ๆ อย่าง สะดุดที่รอยยิ้มของเธอ ที่ยิ้มแล้วรู้สึกใบหน้าสว่าง สามารถทำให้ห้องที่มืดอยู่สว่างขึ้นได้ทันที แต่ทันทีที่เศร้าเราก็จะสามารถเห็นได้ชัดเจนจากดวงตาและใบหน้าของเธอเช่นกัน แล้วอีกอย่างคนที่ต้องเล่นบทนี้ต้องมีลุคที่มีพลังฉายออกมา แต่ต้องดูเป็นคนที่สัมผัสได้ เป็นคนใกล้ๆเรา เป็นเพื่อนเราได้ด้วย เพราะทันทีที่เธอตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เราจะอยากช่วยเหลือเธอมากๆ ซึ่ง “เอ๋” มีบุคลิกอย่างนี้อยู่ในตัวอย่างที่อยากได้ทั้งหมด รวมทั้งฝีมือการแสดงที่ถือเป็นไฮไลท์ของเรื่องช่วงสุดท้ายของหนัง เราจะได้เห็นความกลัวที่ไม่เคยเห็นในหนังไทยมาก่อน ! ซึ่งผู้กำกับ “สิน” ถึงกับเอ่ยปากบอกเลยว่า “ถ้าไม่ใช่ ‘เอ๋’ ก็นึกไม่ออกว่าใครจะเหมาะกับบทนี้แล้ว”

…และเมื่อ “เอ๋” ถูกเลือกให้รับบทนี้ ให้แสดงความสามารถและพิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มตัว ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป ทันทีที่ผู้กำกับติดต่อมา ก็ตกปากรับคำเซย์เยสทันที โดยยังไม่ทันได้อ่านบทเลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากได้มาอ่านบทแล้วกลับพูดเปิดอกยอมรับเลยว่า รู้สึกว่าบทนี้ยากมากและรู้สึกกลัวมาก กลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ เกิดอาการนอยด์ขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่พอมาเจอกับผู้กำกับแล้วก็ทำให้เธอมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ได้กำลังใจมากขึ้น เพราะผู้กำกับและทุกคนมั่นใจในตัวเธอนั่นเอง

…มาถึงด้านโลเกชั่นที่ทีมงานต้องพิถีพิถันหาห้องเช่าของ “ปิ่น” กันอยู่นานสองนาน เพราะเนื่องจากทั้งเรื่องต้องถ่ายทำกันที่ห้องเช่านี้เกือบทั้งเรื่อง จึงต้องสรรหาเป็นพิเศษ อีกทั้งลักษณะของตึกที่ต้องสามารถสื่ออารมณ์ออกมาได้ เป็นห้องสำหรับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ต้องการตึกที่มีบุคลิกในตัว และที่สำคัญตัวห้องต้องอยู่ตรงหัวมุม ตรง 4 แยกพอดีอีกด้วย เลยเป็นโจทย์ที่ยากมาก หากันหลายที่มาก จนมาเจอตึกแถวเยาวราช ที่เป็นตึกให้เช่าจริง ๆ มีอายุประมาณ 40-50 ปี อยู่ตรง 4 แยกพอดี และข้าง ๆ ก็มีทั้งตึกเก่าและใหม่ล้อมรอบ ทำให้ดูมีเรื่องราวมีเสน่ห์ ถูกใจผู้กำกับมาก แต่ด้วยห้องเช่าที่แคบมากไม่เอื้อต่อการถ่ายทำ เลยต้องมีการเนรมิตภายในห้องเช่าของ “ปิ่น” ที่สตูดิโอแทน และเพราะ 85% ต้องถ่ายอยู่ในห้องเลยต้องดีไซน์พื้นที่ให้เอื้อต่อการถ่ายทำได้อย่างดี เช่นเพดานต้องถอดได้ อยากจะถ่ายตรงไหนเราก็ถอดด้านนั้นออก และยังต้องทำให้เหมือนเป็นห้องเล็กอีกด้วย เรียกว่าทำได้เหมือนจริง เนี๊ยบมาก อารมณ์ได้และสอดคล้องกับตัวตึกที่เราได้มามาก ๆ ขอบอกได้เลยว่าแม้แต่ทีมงานคนเซ็ตห้องเองยังบอกไม่ได้เลยว่าฉากไหนถ่ายที่จริง ฉากไหนถ่ายที่สตูดิโอ!

…เมื่อความเครียดเรื่องโลเกชั่นผ่านพ้นไป ผู้กำกับก็ต้องมากุมขมับนั่งเครียด กินไม่ได้ซะหลายวัน ทำเอาน้ำหนักแทบลด(แต่ไม่ฮวบ) เพราะในเรื่องนี้นอกจากที่ต้องถ่ายทำกันในห้องเช่าแคบๆของ “ปิ่น” แล้วยังต้องมีฉากแอ็ค ชั่นใหญ่ ๆ ที่ทำเอาผู้กำกับตื่นเต้นถึง 2 ฉากด้วยกัน คือเป็นฉากที่ “ปิ่น” ต้องตกตึก 7 ชั้น และฉากรถคว่ำกลางสี่แยกที่ไม่ค่อยมีฉากแบบนี้ในหนังไทยมาสักพักหนึ่งแล้ว

…สำหรับฉากตกตึก 7 ชั้น เรียกว่าสูงประมาณ 30-40 เมตร แค่ยืนตรงระเบียงแล้วมองลงมาข้างล่างก็เสียวมากแล้ว ขนาดสตั้นท์เองยังรู้สึกหนาวๆเลย แต่ “เอ๋” ก็สปิริต ตั้งใจอาสาเล่นด้วยตัวเอง พร้อมบอกประโยคเด็ดกับผู้กำกับว่า “ถ้าไม่เล่นเอง ก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้ทำแบบนี้ซักกี่ครั้ง” เลยขอทำเองซะเลย ทำเอาผู้กำกับหนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะเซฟกันมากขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้ายก็สู้ความทัดทานของ “เอ๋” ไม่ได้ ต้องขึ้นสลิงซักซ้อมเพิ่มความสูงขึ้นทีละนิดเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยก่อน พอถึงคิวถ่ายจริง “เอ๋” ต้องถ่ายฉากตกตึก 7 ชั้นนี้ถึง 4 เทคด้วยกันพอถ่ายเสร็จ “เอ๋” ติดใจอยากเล่นอีก ทำเอาพี่สินผู้กำกับหัวใจจะวาย รีบเซย์โนทันทีพร้อมบอกว่า “พี่ได้ภาพที่สุดยอดของน้องแล้ว” (พร้อมถอนหายใจโล่งอกซะเฮือกใหญ่)

…ฉากรถคว่ำกลางสี่แยก เป็นอีกฉากที่หนักหนามาก เป็นฉากหลังฝนตกใหม่ ๆ พื้นถนนลื่น แล้วสตั้นท์ต้องขับรถให้เหินขึ้นมาแล้วลงไปพลิกคว่ำ แล้วไถลไปอยู่ตรงกลางสี่แยกแบบพอดิบพอดี เลยต้องผ่านการวางแผนมาอย่างดี ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ ต้องตรงจุดทุกอย่าง ทำให้ต้องเตรียมงานเพื่อช็อตนี้กันทั้งคืน ต้องทำการปิดถนนเพื่อเซ็ทอุป กรณ์ต่างๆ ที่ถนนเจริญกรุง ซึ่งเป็นถนนใจกลางกรุงเทพ แถมยังต้องเร่งเวลาถ่ายให้เสร็จก่อน 7 โมงเช้า เพราะหลังจากนั้นรถจะติดมาก ซึ่งฉากนี้เป็นอีกฉากที่โหดเพราะนอกจากจะต้องเร่งถ่ายแล้ว ยังต้องอยู่ในรถที่คว่ำนานมาก แล้วยังต้องเอาตัวเข้าไปนอนให้เบาะทับ สิ่งของต่าง ๆ มาทับที่ตัวอีก เรียกว่า “เอ๋” ต้องนอนอยู่นานจนตะคริวกินกันเลย

…และทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของผู้กำกับ ทีมงาน และนักแสดงที่อยากให้ “เหงา” ตอนนี้ ทั้งเหงา หลอน และ ผวา จนคุณไม่อยากรับ SMS จากใครอีกเลย !!!

ยันต์สั่งตาย

แพร่งที่ 2 เรื่อง “ยันต์สั่งตาย” (โดย “ปวีณ ภูริจิตปัญญา” )

นำแสดงโดย

“บอล วิทวัส สิงห์ลำพอง” – เดี่ยว

“สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข” – พิงค์

“ชลลี่ ชล วจนานนท์” – โยเกิร์ต

…จินตนาการถึงวิธีการเอาคืนแบบเด็ก ๆ อย่างการเขียนกระดานดำล้อชื่อพ่อเพื่อน แล้วลองจินตนาการถึงการเอาคืนของเด็กช่างกลกลุ่มนี้ที่เลือกวิธีเขียนยันต์สั่งตาย แช่งคนที่พวกเขาเกลียดขี้หน้า

…จินตนาการดูซิว่า ดีกรีความโหดมันจะสุดขั้วกว่ากันแค่ไหน

…ระดับความน่ากลัว ความสยอง ความหวีด เทียบได้กับการได้ขึ้นไปอยู่บน “รถไฟเหาะหฤโหด” หรือ “Bloody Roller Coaster” ถ้าใครได้เคยขึ้นคงรู้ดีว่ามันทั้งสนุก เสียว เร้าใจและตื่นเต้นปนขวัญผวามากแค่ไหน มีทั้งจังหวะกระตุก จังหวะเสียวสันหลังไปพร้อม ๆ กัน แต่สำหรับหนังเรื่องนี้แล้วอยากให้จินตนาการถึงรถไฟเหาะที่ตีลังกาซัก 5 รอบ ในแบบที่หัวอยู่ใต้ราง และเท้าห้อยอยู่นอกตัวรถกันเลย เพราะมันจะทำให้คุณเสียวเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 เท่าทวีคูณ เลือดในร่างกายฉีดพล่านไปทั่วร่าง ร้อนผ่าวกันแบบทั่วตัวแน่ ๆ!

…เพราะ “ยันต์สั่งตาย” เป็นหนังผีแอ็คชั่นที่ดุเดือนเลือดพล่านมาก ในชนิดที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นเหมือนระเบิดเวลา ที่พอจุดชนวนเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงอีกด้วย คือหนังเรื่องนี้จะแทบไม่มีเวลาให้คนดูได้หยุดพักเลย ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วมาก ต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการขวัญกระตุกตื่นเต้นจนหายใจไม่ออกตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายกันเลย

…เป็นเรื่องราวของการแก้แค้น การเอาคืนของคนที่มีวิชาอาคม เป็นการเอาคืนโดยการเล่นของอย่างหนึ่งในรูปแบบของยันต์ ที่เรียกว่า “ยันต์สั่งตาย” เพื่อมาไล่ล่าแก้แค้นแทน แต่สุดท้ายหนังต้องการจะบอกว่าการแก้แค้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะมันจะไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันสงบสุข!

“ยันต์สั่งตาย” มีที่มาจากความชอบของผู้กำกับในการ์ตูนเรื่อง “The Paper” ของพี่เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ที่เป็นคนวาดการ์ตูนเรื่องนี้และเป็นคนที่เขียนบทหนังเรื่อง “บอดี้ ศพ#19” มาแล้ว ผู้กำกับชอบการ์ตูนเรื่องนี้มากอยากเอามาทำเป็นหนังอยู่แล้วแต่ความยาวของเรื่องและรายละเอียดไม่สามารถทำเป็นหนังยาวได้ แต่พอมีโอกาสทำหนังเป็นตอน ๆ แบบนี้เลยได้ทีเข้าทางผู้กำกับเข้าให้ เลยขอการ์ตูนเรื่องนี้มาทำและก็ได้พี่เอกมาเขียนบทเรื่องนี้ให้ด้วยซะเลย ทำให้เข้าขารู้ทางกันเป็นอย่างดี

…และหลังจาก “บอดี้ ศพ#19” ได้ออกฉายไป จนผู้กำกับกอล์ฟได้รับฉายาว่า “เจ้าพ่อซีจี” ไปแล้ว เพราะแทบทั้งเรื่องใช้ซีจีได้อย่างแนบเนียน ได้มุมมองที่แปลกตาและภาพสวย เลิศ ทันสมัยไม่เหมือนใคร กลายเป็นเอกลักษณ์และคาแร็คเตอร์ในหนังของผู้กำกับคนนี้ไปซะแล้ว แถมทำให้ผลงานโกอินเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่ประเทศอเมริกาในงาน American Film Market จนได้รับความสนใจจากประเทศต่างๆที่จะซื้อไปฉายถึง 10 ประเทศ มาคราวนี้สำหรับเรื่อง “ยันต์สั่งตาย” เพื่อไม่ให้เสียชื่อ “เจ้าพ่อซีจี” จึงไม่น่าแปลกใจที่ในหนังเรื่องนี้จะมีการใช้เทคนิคพิเศษหรือซีจีในหนังเรื่องนี้แบบเต็ม ๆ อีกครั้ง แถมยังขนเอฟเฟคและอุปกรณ์พิเศษต่าง ๆ มาใช้กับเรื่องนี้อีกเยอะแยะมากมาย

…ซีจีอย่างแรกทีเห็นและถือเป็นตอนสำคัญของเรื่อง คือ “กระดาษที่มีชีวิต” กระดาษที่สามารถออกไปไล่ล่าคนได้ สามารถบังคับให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการได้ อย่างฉากที่ผู้กำกับเรียกว่า “เพเพอร์ แอคแทค” เป็นฉากที่ยันต์สั่งตายบินมารอบ ๆ รถของเหยื่อและทุบกระจกจนร้าวเพื่อจู่โจม คือต้องการได้ภาพที่ให้กระดาษมันตีเข้าที่กระจกรถ เหมือนนกกระพือปีกตีเข้ากับกรงนกประมาณนั้น เพื่อให้ภาพดูรุนแรง น่าสนใจ น่ากลัว และคุกคามในเวลาเดียวกัน

…และส่วนอื่น ๆ ที่ต้องใช้ซีจี คือผี ด้วยคาแร็คเตอร์ของผีที่เราอยากได้คือผีตายโหง เราต้องสร้างมาจากซีจีล้วน ๆ เพราะต้องการให้ผีมีการเคลื่อนไหวที่ดูผิดปกติ ซึ่งถ้าเอาคนมาเล่นหรือให้ขยับตัวแบบนั้นมันทำไม่ได้ และอีกอย่างผู้กำกับต้องการให้หน้าผีดูบูดเบี้ยวแบบไม่มีกรอบอะไรมายึดติดว่าต้องออกมาเป็นแบบไหน จึงต้องสร้างคาแร็คเตอร์ผีนี้ขึ้นมาด้วยซีจีเพื่อให้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างที่ต้องการ เรียกว่าภาพที่ออกมาจะทำให้ทั้งกลัว ทั้งสยองแบบที่ผู้กำกับอยากให้เป็นแน่นอน

…และอีกฉากที่ต้องใช้ซีจีเรียกว่าแทบทั้งฉากคือฉากที่มีเด็กถูกแกล้งจนพลาดตกตึกล่วงลงมาโดนเสาธงเสียบ ฉากนี้ต้องถ่ายบนกรีนสกรีน ใช้ซีจีในการเนรมิตสร้างโรงเรียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมด รวมทั้งเสาธงและเศษกระจกที่แตกออกมาก็ใช้ซีจีในการสร้างด้วย เพื่อความสวยงามของฉาก ทำให้ได้มุมมองของภาพที่ต้องการ และได้มุมที่แปลกตาออกไป และยังมีอีกมากมายหลายฉากที่ใช้ซีจีเข้าช่วยเพื่อให้สมจริง สวยงาม และสยดสยอง ตามสไตล์ของผู้กำกับ

…นอกจากนี้ยังมีฉากที่ต้องใช้เอฟเฟ็คต์เข้าช่วยด้วยอีกหลายต่อหลายฉาก อย่างฉากที่ “บอล” ต้องถูกไฟคลอกทั้งหน้าและตัว โดยต้องแต่งให้ไหม้ไปทั้งตัว ซึ่งต้องมีการทำให้หัวล้านไปครึ่งหนึ่ง และใส่ผมปลอมเข้าไปเพราะเวลาไฟโดนผมจะไหม้และมีลักษณะเป็นหยิก ๆ เลยต้องเมคอัพใหม่ทั้งหมด ทั้งเสื้อผ้าก็ต้องขาดวิ่นเหมือนโดนไฟคลอกด้วย และก็จะไปผสมกับในคอมพิวเตอร์ที่เป็นไฟอีกทีหนึ่งเพื่อให้ได้ภาพที่ถูกเผาอย่างสมจริงมากขึ้นไปอีก ซึ่งการเมคอัพนี้ใช้เวลาแต่งนานถึง 3 ชั่วโมงเต็มๆ โดยใช้แผ่นกาวแปะบนหน้าแล้วค่อย ๆ เมคอัพใช้ผมปลอมซึ่งต้องเอาไปเผาไฟก่อนค่อย ๆ มาติดบนหัว ให้เหมือนผมที่โดนไฟไหม้จริง ๆ ซึ่ง “บอล” แอบกระซิบว่า ทั้งเหนียว ทั้งเหม็นทรมานมาก ๆ

…อีกฉากที่ต้องอาศัยการแต่งหน้าเอฟเฟ็คต์เข้าช่วยและถือเป็นฉากไฮไลท์ก็คือ ฉากที่ถูกควักลูกตาออก เป็นอีกฉากที่เมคอัพกันทรหดอดทนมากคือเกือบ ๆ 3 ชั่วโมง คือจะทำให้เหมือนตาถูกควัก และมีลูกตาปลอมออกมา ถ่ายฉากนี้กันตอน 6 โมงเช้า เริ่มแต่งหน้ากันตั้งแต่ตี 3 เพื่อให้ได้ภาพที่สยอง สวยงามและน่าสะพรึงกลัวให้ได้มากที่สุด

…ฉากเหล็กเสียบคอ เป็นฉากที่ “ชลลี่” โดนอำนาจของยันต์สั่งตาย จนตกใจถอยหลังไปสะดุดกองเหล็กและล้มใส่กองเหล็กเส้น ทำให้เหล็กทะลุเข้าไปในคอ แล้วไปตุงอยู่อีกด้านหนึ่ง เป็นฉากที่ผู้กำกับอยากเมคอัพให้ได้ภาพที่ดูสุดโต่ง สยอง และดูเว่อร์ขึ้นเพื่อเร้าอารมณ์คนดูในฉากนั้น เลยทำเป็นลักษณะของเนื้อที่ย่นและยู่จนยื่นออกมา ให้ดูน่าขยะแขยงแต่ดูไม่อุจาดตาเกินไป ซึ่งก็ทำออกมาอย่างได้อารมณ์สุด ๆ

…มาถึงฉากที่ต้องยกนิ้วให้กับสปิริตของนักแสดงคือ ฉากที่ “บอล” ต้องตกตึก และ “บอล” อาสาเล่นเองเพราะอยากได้ภาพที่เห็นเป็นตัวเค้าเองจริง ๆ ซึ่งต้องถ่ายตกตึกอยู่อย่างนั้นประมาณ 50 รอบได้ อยู่บนสลิงนานเกือบ 5 ชั่วโมง เพราะผู้กำกับอยากได้ภาพหลาย ๆ มุม และบางครั้งสลิงก็ไม่เป็นใจไม่ล่วงลงมาในตำแหน่งที่ต้องการ เลยต้องถ่ายกันอยู่หลายรอบ เรียกว่าถ่ายจน “บอล” ไม่สบาย แต่ก็สปิริตถ่ายต่อจนได้ภาพที่พอใจ

…อย่างที่บอกไปว่าเรื่องนี้หนักทั้งซีจี และเอฟเฟ็คต์ เพราะฉะนั้นนักแสดงที่เล่นจึงไม่ได้มาเล่นแบบสบายๆแน่ ทั้งต้องทรมานกับการแต่งหน้าเอฟเฟ็คต์แต่ละครั้งเกือบครึ่งวัน หรือไหนจะต้องเล่นต้องจินตนาการ ทั้งหวาดกลัว ทั้งร้องไห้ ตกใจ เล่นกับลม กับอากาศอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีอะไรอยู่รอบตัวเราเลย เพราะในฉากเหล่านั้นต้องใช้ซีจีสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำการบ้านหนักมากทีเดียว

…และหนึ่งในนักแสดงที่ผู้กำกับตั้งใจเลือกมาก็คือ “สายป่าน” คือทันทีที่เขียนบทเสร็จผู้กำกับก็ปิ๊งขึ้นมาเลยว่าบท “พิงค์” น่าจะเหมาะกับ “สายป่าน” เพราะอยากได้ลุคของเด็กผู้หญิงที่สามารถอยู่ในก๊วนของผู้ชายได้ และมีความเป็นเด็กนักเรียนที่ดูธรรมดา ๆ แต่แววตาของเค้าและความสามารถทางการแสดงนั้นสุดยอด และพอได้มาเล่นจริง ๆ ก็สุดยอดมาก ๆ เพราะสามารถเล่นได้ดีในทุกฉาก ทั้งซีนอารมณ์ ดราม่า และแอ็คชั่น ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีจริง ๆ

…ส่วนบท “เดี่ยว” ที่รับบทโดย “บอล” ซึ่งเป็นบทหัวโจกของกลุ่ม ต้องดูเป็นเด็กที่เฮี้ยว ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ และดูเอาแต่ใจตัวเอง ที่สำคัญต้องมีบุคลิกของความเป็นผู้นำ แคสติ้งบทนี้อยู่นาน จนไม่ได้คิดถึง “บอล” เพราะยังรู้สึกว่าติดภาพบอลจากหนังเรื่อง Seasons Change ที่เป็นภาพเด็กเล่นดนตรี แต่พอได้เห็นบอลมาแคสบทนี้กลับโดนใจผู้กำกับมาก ๆ และด้วยนิสัยจริง ๆ ที่ออกกวนๆของบอลด้วยแล้ว เลยทำให้บท “เดี่ยว” นี้เหมาะกับ “บอล” แบบสุด ๆ

…เรียกว่าทุกฉาก ทุกตอนในหนังเรื่องนี้ตั้งใจ ประคบประหงม และถูกดีไซน์มาอย่างดีเพื่อความน่าสะพรึงกลัวของหนัง บวกกับความบ้าและความมันส์ของตัวผู้กำกับด้วยแล้ว เรียกว่า “ยันต์สั่งตาย” สามารถทำให้คนดูแทบหยุดหายใจทุกวินาที และยังสะท้อนความเป็นตัวตนของผู้กำกับ “กอล์ฟ ปวีณ ภูริจิตปัญญา” ได้อย่างดี 

 
คนกลาง

แพร่งที่ 3 เรื่อง “คนกลาง” (โดย “บรรจง ปิสัญธนะกูล” /

นำแสดงโดย

” ฟรอยด์-ณัฏฐพงศ์ ชาติพงศ” (รับบท “เต๋อ”)

“กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข” (รับบท “เอ”)

…วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งออกไปตั้งเต๊นท์กลางป่าลึก พวกเขาล้อมวงเล่าเรื่องผี ทำกิจกรรมห่าม ๆ ไร้สาระตามขนบหนังสยองขวัญทุนต่ำทุกประการ

…แต่ไฉนผีที่พวกเขาประสบพบเจอ กลับเป็นผีที่แหกธรรมเนียมปฏิบัติผีในหนังทุกเรื่องที่พวกเขาเคยดูมา

…ระดับความตื่นเต้น ความสนุก ความมันส์ และความเสียวสยอง เปรียบเทียบได้กับการได้อยู่บนเครื่องเล่น “ล่องแก่งมรณะ” หรือ “Deathly Rafting” ที่มักจะทำให้ผู้เล่นได้รู้สึกถึงความสนุก เร้าใจและเสียววาบได้ในทุกจังหวะที่เคลื่อนที่ไปตามความคดโค้งของเกาะแก่งอย่างรวดเร็ว และยังได้ความมันส์พร้อมความสะใจที่โดนน้ำถาโถมเข้ามาใส่ตัวทุกครั้งที่เล่นเสมอ เพราะ “คนกลาง” ถึงแม้เป็นหนังสยองขวัญที่จะกระตุ้นเร้าให้น่ากลัวแล้ว แต่ยังจะมีอารมณ์หัวเราะฮา อารมณ์ขันแบบเสียดสีผสมเข้าไป และมีการล้อขนบของหนังผี ประมาณว่าแอบกัด ๆ อยู่กราย ๆ หนังเรื่องนี้เลยเป็นเหมือนรสชาติใหม่ ๆ ของหนังผี

…ความสนุกของ “คนกลาง” อยู่ที่ตัวละครเพื่อนที่เกิดอุบัติเหตุตกน้ำหายไปตอนล่องแก่ง แล้วอยู่ๆก็กลับมา ความสนุกมันอยู่ตรงที่เราไม่รู้ว่าเพื่อนที่กลับมาตายไปแล้วหรือเปล่า เป็นผีหรือเป็นคน หรือเป็นอะไรก็ไม่รู้ เพื่อนๆก็จะมานั่งคุยกันว่ามันคืออะไร มันกลายเป็นช่วงที่ระทึกขวัญในป่า มีทั้งการวิ่งหนี หวาดระแวง หลอน และอารมณ์ขัน มันมีความน่ากลัวปนอารมณ์ขันเล็กน้อย เป็นอารมณ์และรสชาติที่ใหม่และมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

“คนกลาง” เป็นเรื่องที่ผู้กำกับ “โต้ง” ออกโรงกำกับเดี่ยวเป็นครั้งแรก หลังจากกำกับกับคู่ซี้ดูโอ้ “โอ๋ “ ในเรื่อง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” และ “แฝด” มาตลอด แต่การทำงานเดี่ยวครั้งนี้ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะด้วยตัวเรื่องที่เลือกสรรมาทำเป็นหนังสยองขวัญปนอารมณ์เสียดสีหน่อย ๆ นี้ เป็นสไตล์และเป็นตัวตนของผู้กำกับมาก ๆ แต่ที่ค่อนข้างกังวลก็คือต้องทำงานด้วยเวลาที่จำกัดแต่ผลลัพธ์ต้องออกมาดีที่สุด เพราะแม้จะทำงานคนเดียวหรือสองคนก็ต้องทำการบ้านหนักอย่างเต็มที่เหมือนเดิม

…ไอเดียของเรื่องนี้ เกิดมาจากเรื่องจริงเรื่องเล็ก ๆ ของผู้กำกับที่ว่า เมื่อตอนผู้กำกับไปเขียนบทเรื่องแฝดกับทีมงานกัน พอตกดึกทุกคนก็เกิดกลัวกันขึ้นมา เลยมาแย่งกันนอนตรงกลางกันหมดเลย ด้วยความรำคาญ “โต้ง” เลยพูดขึ้นมาว่า “ถ้าตายไปจะมาหลอกคนที่นอนตรงกลางก่อนเลย” พอพูดเสร็จก็รู้สึกสะกิดใจ เลยเอาประเด็นนี้มาคิดต่อว่ามันน่าจะเป็นเงื่อนไขที่น่าสนใจ สามารถมาทำเป็นหนังได้ เลยเป็นที่มาของเรื่อง “คนกลาง” นั่นเอง

…นั่นเลยเป็นที่มาของเรื่องนี้ ที่ว่าด้วยเรื่องของกลุ่มเพื่อน 4 คนที่ไปเที่ยวป่าด้วยกันและทำในสิ่งที่ถ้าใครได้ดูหนังผีจะไม่ทำกัน คือเด็กกลุ่มนี้ไปเล่าเรื่องผีกันในป่าว่าเวลามาเที่ยวป่าต้องไม่นอนริมสุด เพราะจะโดนผีเล่นงาน แล้วพอตอนนอนจริง ๆ ทุกคนก็ต่างแย่งกันนอนตรงกลางกันหมด แต่แล้วจะทำอย่างไรเมื่อคนที่นอนตรงกลางกลับเป็นคนที่โดนผีหลอกคนแรก!

…พูดถึงนักแสดง โจทย์เรื่อง “คนกลาง” จริง ๆ แล้วผู้กำกับอยากได้เป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่เราเห็นได้ทั่วไป เหมือนกลุ่มคนที่มาดูหนังของเราประมาณนั้นเลย ไม่จำเป็นต้องนำดาราดังหรือซูเปอร์สตาร์มาเล่น เพราะอยากนำเสนอเรื่องราวของคนทั้งกลุ่มที่รู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ทำให้สามารถนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนออกมาได้อย่างกลมกลืนและมีน้ำหนักเท่า ๆ กัน

…อย่าง “ฟรอยด์” ที่เลือกมาเพราะมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก มีความตลก ขี้เล่นตรงคาแร็คเตอร์ที่ต้องการ และก็เป็นดาราที่ไม่ใหญ่เกินไปจนกลบความเนียนของกลุ่มเพื่อนๆคนอื่น “ฟรอยด์” รับบท “เต๋อ” เป็นคนที่ชอบพูดเล่น ขี้เล่น เรียกว่าพลิกคาแร็คเตอร์เหมือนกัน เพราะคนจะชินกับการเห็นคาแร็คเตอร์ของ “ฟรอยด์” ในแบบที่ชอบโวยวาย พูดเยอะ ๆ ชอบกรี๊ด ซึ่งครั้งนี้ถึงแม้จะพลิกบทบาทออกไป แต่ “ฟรอยด์” ก็ทำได้ดีมาก มีทั้งความกวนและในขณะเดียวกันก็มีความซีเรียส มีความน่าสนใจอยู่ในตัวละครตัวนี้

…อีกคนคือ “บอมบ์ AF4” รับบท “เอ” จะเป็นคนจริงจังมากที่สุดในกลุ่ม เป็นคนคอยปรามเพื่อนๆ ที่เลือก “บอมบ์” เพราะอยากได้คนที่ดูนิ่ง ๆ และพอไม่พูดอะไรจะคาดเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ซึ่ง “บอมบ์” เค้าตีโจทย์นี้ได้แตกเลยส่วนเพื่อนอีกคนคือ “เผือก” รับบทเป็น “เผือก” จะออกแนวกวน ๆ ปากดี ห้าวและกร่าง ชอบทำอะไรแผลง ๆ ตลอดเวลา หลาย ๆ คนน่าจะคงคุ้นหน้าคุ้นตาจากโฆษณาต่างๆ มาบ้าง “เผือก” เป็นคนที่มีทักษะในการรับส่งบทได้ดีมาก และเป็นธรรมชาติมาก มีความตลกอยู่ในตัวสูงมาก และเป็นคนที่มีพลังเยอะ เวลาเข้าฉากจะมีการเล่นสดเพิ่มให้ คือจะมีการเพิ่มท่าทาง และหน้าตาเข้าไปทำให้ตัวละครตัวนี้มีสีสันขึ้นมาก ส่วนคนสุดท้ายคือ “ชิน” รับบทโดย “เชน” จะเป็นคนแหย ๆ มักจะโดนเพื่อนในกลุ่มแกล้งตลอด “เชน” ก็เล่นโฆษณามาเยอะเหมือนกัน คิดว่าคนดูน่าจะชอบตัวละครตัวนี้ คือถ้าคนนี้อยู่ในกลุ่มของเราก็จะต้องเป็นคนที่โดนแกล้งมากที่สุดเช่นกัน

…มาถึงด้านโลเกชั่น เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่า 2 คืน แล้วก็ต้องมีฉากการล่องแก่งเท่านั้น ดังนั้นโลเกชั่นที่ถ่ายจึงต้องหาให้สามารถตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง คือต้องไปหาสถานที่ที่เกิดขึ้นในป่า และต้องอยู่ริมน้ำ หาอยู่นานมากจนได้ที่จังหวัดสระบุรี เป็นที่ที่สวยมาก ตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง และเป็นจุดที่สอดคล้องกับสถานที่ที่เราเลือกใช้ถ่ายทำการล่องแก่งที่แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

…เมื่อมีการล่องแก่ง นักแสดงก็ต้องไปล่องแก่งกันจริง ๆ มีการฝึกการล่องแก่ง หัดฝึกพายเรือกันจริง ๆ โดยเฉพาะ “บอมบ์” ที่ต้องฝึกหนักเป็นพิเศษ เพราะต้องเล่นเป็นคนที่เคยพาคนไปล่องแก่งมาก่อน ดังนั้นจึงต้องฝึกให้ท่าทางดูเหมือนคนคัดท้ายเรือที่เหมือนจริง ให้ดูมีความคล่องแคล่วและมีความชำนาญ และทุกอย่างด้านโปรดักชั่นก็ต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า ต้องมีการไปดูโลเกชั่นเพื่อบล็อคตำแหน่งภาพไว้ก่อนทุกครั้ง ทำการซ้อมทุกอย่างไว้ก่อน ทั้งกล้อง นักแสดงและอารมณ์ของนักแสดง เพื่อจะได้ถ่ายทำได้ราบรื่นมากที่สุด เพราะเวลาถ่ายการล่องแก่งแต่ละครั้งจะต้องเสียเวลาในการนำเรือย้อนขึ้นมาที่ต้นน้ำเพื่อเล่นใหม่ ถ้าเกิดผิดพลาดแล้วต้องถ่ายหลายเทค ก็แสดงว่าเราต้องเสียเวลาไปเป็นวัน ดังนั้นจึงต้องเซ็ตกันเป็นอย่างดี

…อีกฉากที่โหดมาก ๆ คือฉากที่นักแสดงต้องจมน้ำจากการเล่นล่องแก่ง คือต้องลงน้ำทั้งว่ายน้ำ ทั้งจมน้ำ และเพราะสถานที่ถ่ายคือที่เชียงใหม่อากาศหนาวมาก ๆ และยังต้องถ่ายกลางคืนด้วย ขนาดคนที่ไม่ได้ลงน้ำยังต้องใส่ทั้งเสื้อกันหนาวหลายชั้นและพ้าพันคอเพิ่มด้วย ตอนถ่ายเลยต้องมีถุงน้ำร้อนไว้ประคบ แล้วก็จะมีเสื้อคลุมไว้ตลอด ต้องผิงไฟตลอดเวลา ทั้งหนาวมาก และทรมานมาก แถมบริเวณที่ใช้ถ่ายทำน้ำค่อนข้างแรง อันตรายมาก ซึ่งก็ต้องเซฟตี้กันสุด ๆ ต้องมีสลิงคอยดึงตัวนักแสดงไว้ตลอดเหมือนกัน แต่นักแสดงทุกคนก็มีสปิริตมาก ๆ

…และฉากนี้ต้องมีการใช้เชือกดึงให้เรือคว่ำด้วย เพราะต้องการภาพที่ดูแรงและน่าเชื่อว่าอุบัติเหตุนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ต้องใช้กล้องหลายตัว หลายมุมมาก และต้องวางตำแหน่งกล้องแต่ละตัวให้เป๊ะมากที่สุดอีกด้วย แล้วที่ยากอีกอย่างสำหรับนักแสดงก็คือนักแสดงส่วนใหญ่ว่ายน้ำกันได้ แต่ต้องทำเป็นจมน้ำ เพราะสำหรับคนที่ว่ายน้ำเป็นแล้วมันจะรู้ว่าควรทรงตัวอย่างไร มันเหมือนเป็นสัญชาติญาณ พอเล่นจมน้ำมันก็จะดูฝืน ๆ แต่ทุกคนก็ต้องทำให้เป็นคนจมน้ำให้ดีที่สุด แล้วก็ออกมาได้ดีจริง ๆ เรียกว่าเรื่องนี้ทั้งเรื่องต้องอยู่ในป่า อยู่ในน้ำ เดินเขา และก็ตกน้ำ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดการถ่ายทำ สุดท้ายเลยทำเอานักแสดงป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อกันไปเลย เรียกว่าโหดได้ใจมาก ๆ

…จากความหฤโหด ความอดทนของนักแสดงรวมทั้งทีมงานในเรื่องนี้ทั้งหมด และจากผลงานเรื่องก่อนๆของผู้กำกับ “โต้ง” ไม่ว่าจะเป็น “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” และ “แฝด” กับรางวัลที่ได้รับในเทศกาลหนังต่างประเทศกว่า 10 รางวัล! น่าจะเป็นผลงานการันตีได้อย่างดีว่า “คนกลาง” จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนดูไม่ผิดหวัง…

 
Last Fright

แพร่งที่ 4 เรื่อง “Last Fright” (โดย “ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ” / นำแสดงโดย “เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์”)

…รวมมิตรสุดยอดของอาการ Phobia ทุกรูปแบบ นี่คือเที่ยวบินที่ไม่เหมาะสำหรับคนกลัวที่แคบ เสียงดัง แรงสั่นสะเทือน ความกดอากาศ ความมืด และ ศพ

…ทั้งหมดนี้รอต้อนรับแอร์โฮสเตสสาวคนหนึ่ง ในไฟล์ทที่เธอต้องเผชิญมันเพียงลำพัง

…ระดับความสะพรึงกลัว ความหลอน และความเสียว เหมือนการได้เดินเข้าไปใน “โคตรบ้านผี(สิง)” หรือ “House of The Damn” ที่แค่ทันทีที่คุณเยื้องกายเข้าไปภายใน และได้เห็นบรรยากาศอันวังเวงของบ้าน ก็แทบทำให้คุณใจสั่นสะท้าน ขาแข็งจนก้าวเท้าแทบไม่ออกแล้ว และยิ่งมีโคตรผีทั้งตัวพ่อ ตัวแม่คอยตามหลอนหลอกทำให้คุณตกใจแทบบ้าอย่างชนิดคาดเดาไม่ได้อีกมากมาย และที่น่าทรมานก็คือถ้าตัดสินใจเข้าไปข้างในแล้ว ก็ไม่สามารถย้อนกลับออกมาได้ ต้องเดินหน้าประสบกับความหลอนต่อไปจนจบนั่นเอง!

“Last Fright” เป็นหนังเกี่ยวกับที่แคบ สถานการณ์ที่ตัวละครติดกับที่แคบไม่สามารถหนีไปไหนได้ เพราะจะให้เครื่องบินหยุดหรือจอดก็ไม่ได้ คือต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตัวเองหวาดกลัวต่อไปเรื่อย ๆ จะต้องเจอกับอาการขวัญผวา จนกระตุกเป็นบางระยะ โดยที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางตัวเองจะไปเจอกับอะไรบ้าง เป็นความน่ากลัวบนความต่างที่ไม่เคยเจอ และไม่น่าจะยังมีหนังสยองขวัญเรื่องไหนที่มีเรื่องราวเกิดบนเครื่องบินเลยอีกด้วย

…ไอเดียเรื่องนี้มาจากความรู้สึกส่วนตัวของผู้กำกับ ที่มีความกลัวผีมากเป็นทุนเดิม รวมทั้งความที่กลัวเครื่องบินจนขึ้นสมอง เลยได้ออกมาเป็นพล็อตที่ได้ฟิลความกลัวแบบแท้ ๆ คือแค่อยู่ที่แคบก็กลัวมากอยู่แล้ว และถ้าต้องอยู่ที่แคบกับสิ่งที่เราไม่พึงประสงค์มันจะยิ่งน่ากลัวขนาดไหน และด้วยหนังที่มีเวลาแค่ 30 นาที ทำให้รู้สึกไคลแม็กซ์และสนุกได้ตลอดเวลาอีกด้วย

…จากความกลัวของผู้กำกับ จึงเกิดเป็นเรื่องราวของแอร์โฮสเตสคนหนึ่งที่ต้องเดินทางไปกับผู้โดยสารวีไอพีที่เป็นเจ้าหญิงจากต่างประเทศ ที่เมื่อได้ขึ้นไปรับใช้บนเครื่องแล้วรู้สึกว่าเจ้าหญิงเอาแต่ใจและค่อนข้างโหดร้ายกับเธอตลอดทั้งไฟล์ท แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหญิงเกิดสิ้นพระชนม์ เลยต้องขนศพเจ้าหญิงกับประเทศ แอร์โฮสเตสคนนี้เลยต้องเดินทางไปกับศพด้วย แล้วเรื่องสยองและน่ากลัวต่างๆก็เกิดขึ้นบนเครื่องตลอดการเดินทาง!

…เนื่องจากเป็นเรื่องราวบนเครื่องบินและเกี่ยวกับวิชาชีพของแอร์โฮสเตส ผู้กำกับเลยต้องศึกษาเก็บข้อมูล เรียกว่าทำรีเสิรชกับแอร์โฮสเตสหลาย ๆ คน หลาย ๆ สายการบินเพื่อให้เล่าสถานการณ์ต่างๆที่เจอบนเครื่องบิน ลักษณะการทำงาน บทลงโทษ ความกดดันในการทำงาน วิธีตอบโต้บางอย่าง ซึ่งบางคนก็ให้ข้อมูลที่น่าสนใจจนเอามาใช้ในบทหนังจริง ๆ

…และอีกเรื่องที่ต้องอาศัยการค้นคว้ากันอย่างดีก็คือ การพันผ้าห่อศพ เพราะคนที่ตายเป็นถึงเจ้าหญิง มีบรรดาศักดิ์ เลยต้องไปศึกษากันว่ามีวิธีการพันศพแบบไหนบ้างที่เป็นแบบราชวงศ์จริง ๆ และยังต้องเป็นวิธีที่ดูแล้วน่ากลัวที่สุด และเมื่อปรากฏในหนังแล้วดูน่าสนใจที่สุด ดูดีที่สุดด้วย ซึ่งสุดท้ายวิธีที่เลือกมาก็สามารถทำให้รู้สึกหลอนจนน่าสัมผัสได้ดีจริงๆ!

…สำหรับฉากบนเครื่องบินถือเป็นฉากสำคัญของเรื่องมาก เพราะส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้ต้องถ่ายทำกันภายในเครื่องบิน เลยต้องสร้าง ต้องเซ็ตภายในเครื่องบินขึ้นมาใหม่ ทำเอาผู้กำกับ “โอ๋” เครียดอยู่นานเพราะทุกสิ่งต้องมีความละเอียดสูงจริง ๆ เลยต้องไปสำรวจบนเครื่องบินจริงๆ และก็มีให้ทั้งแอร์ฯและสจ๊วตที่รู้จักช่วยถ่ายภาพภายในมาให้เพื่อเป็นข้อมูลในการสร้างด้วย เพราะต้องการทำออกมาให้สมจริงมากที่สุด แต่พอได้เห็นเครื่องบินที่จำลองขึ้นมาแล้วผู้กำกับพอใจมาก เพราะมันละเอียดและสมบูรณ์มาก มันเหมือนเราขึ้นไปอยู่บนเครื่องบินจริง ๆ ทีมงานสร้างเก็บรายละเอียดได้ดีมาก อุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เก็บรายละเอียดไว้ได้หมดจริง ๆ

…และโลเกชั่นที่ใช้ถ่ายอีกส่วนก็คือสนามบิน เราก็ไปถ่ายทั้งที่สุวรรณภูมิ และที่ดอนเมือง อย่างที่สุวรรณภูมิก็ต้องไปถ่ายกับคนที่สนามบินจริง ๆ ซึ่งบริเวณที่เราได้ถ่ายก็เป็นที่ที่ไม่เคยมีใครขอถ่ายได้มาก่อนในหนังเรื่องอื่น ๆ เลย ทำให้ในหลาย ๆ ส่วนที่ถ่ายมา สร้างความน่าเชื่อถือให้กับหนังได้อย่างดี ส่วนอีกที่คือสนามบินดอนเมือง ที่นี่เราถ่ายได้อยู่แล้ว เลยเป็นอีกที่ที่เปรียบเสมือนสตูดิโอถ่ายหนังของเรื่องนี้ไปเลย ที่ทุกที่ที่เห็นในดอนเมืองสามารถใช้ถ่ายได้หมด รวมถึงรันเวย์ด้วย เลยยิ่งทำให้หนังดูสมจริงมากสุด ๆ

…ส่วนของนักแสดงผู้กำกับ “โอ๋” ตัดสินใจเลือก “พลอย” ตั้งแต่เขียนบทหนังเรื่องนี้ได้ 3 หน้า คือต้องเป็น “พลอย” เท่านั้น นึกถึงภาพ “พลอย” ตลอดเวลา เพราะเธอมีทั้งความแข็งและความอ่อนโยนอยู่ในตัวเอง ตรงกับบทของ “พิมพ์” แอร์โฮสเตสที่เราต้องการ ที่ต้องรับบทที่ค่อนข้างเข้มแข็ง และมีความกดดันตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็มีความอ่อนไหวบางอย่างอยู่ด้วย คือต้องเล่นอารมณ์ที่ทั้งกดดัน ผวา และหวาดกลัวอยู่ตลอด และก็พร้อมที่จะระ เบิดออกมาทุกเมื่อด้วย

…เนื่องจากบทนี้เป็นบทที่ต้องใช้อารมณ์มากและหลากหลาย ทำให้ “พลอย” ต้องอ่านบทถึง 4-5 รอบ และทำการบ้านค่อนข้างหนัก มีการซ้อมพูดภาษาอังกฤษ เพราะในเรื่องต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษพูดสื่อสารกับเจ้าหญิง และที่ยากกว่านั้นคือเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้กับราชวงศ์ เป็นศัพท์ที่ค่อนข้างสูงเลยต้องทำการบ้านหนักเป็นพิเศษ และอีกอย่างเวลาขึ้นเครื่องจริง ๆ ก็จะคอยสังเกตพฤติกรรมของแอร์โฮสเตสว่าทำงานกันอย่างไร ท่าทางการเดิน วิธีการเสิร์ฟอาหารเป็นอย่างไร คือใช้วิธีเลียนแบบเอา แต่สุดท้ายก็ต้องมาเรียนมาเวิร์คช็อปการเป็นแอร์โฮสเตสด้วย ได้มารู้มารยาท และความรู้สึกของแอร์ฯจริง ๆ เพื่อให้เข้าใจความรู้สึกลึก ๆ มากยิ่งขึ้น

…เรียกว่า “พลอย” ต้องงัดวิชา และท่าไม้ตายทั้งหมดที่เคยร่ำเรียนมาเพื่อมาใช้ในการแสดงเรื่องนี้เลย คือต้องใช้แอ็คติ้งขั้นแอ็ดว้านซ์ มีพลังในร่างกายเท่าไหร่ต้องควักออกมาใช้ให้หมดจนกว่าจะหมดแรงกันไปข้างหนึ่ง คือเรียกว่าเต็มที่มาก ๆ เพราะต้องเล่นคนเดียว ต้องจินตนาการอยู่คนเดียว ทั้งกรี๊ด ทั้งกลัว ทั้งร้องไห้ ทุกเหตุการณ์ต่างเกิดขึ้นภายในวันเดียว มันค่อนข้างใหม่และท้าทายมากสำหรับเธอเพราะตั้งแต่เข้าวงการมายังไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

…วันแรกที่ถ่ายทำก็โหดมาก เพราะเป็นการถ่ายที่เป็นฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องเลย ต้องแสดงอารมณ์ที่กดดันมาก และก็ต้องหวาดกลัวมากด้วย เพราะปกติฉากพวกนี้จะไปอยู่วันท้าย ๆ ของการแสดง แต่พอเปิดมาวันแรกต้องจัมพ์อารมณ์ของตัวละครไปขนาดนี้ ตอนถ่าย “พลอย” จึงต้องอาศัยการทำสมาธิโดยการไปนั่งเงียบ ๆ คนเดียว คือพยายามรวบรวมสมาธิให้มากที่สุด และพอถึงเวลาถ่าย “พลอย”ก็สามารถแสดงอารมณ์กลัวนั้นออกมาได้แบบเข้มข้นและเต็มที่มาก ๆ และต้องแสดงอารมณ์กลัวอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมงมาก ซึ่งเป็นภาพที่ผู้กำกับพอใจสุด ๆ เพราะ “พลอย” เล่นอารมณ์ตกใจ และหวาดกลัวผ่านสีหน้าและแววตาเป็นไปอย่างที่ผู้กำกับคิดไว้ทุกอย่างจริง ๆ

…อีกฉากที่สร้างความสาหัสให้กับ “พลอย” ก็คือฉากที่ต้องกรี๊ดเพราะความกลัวที่เจอมาถึงขีดสุดแล้ว คือฉากนี้เรียกว่า “พลอย” กรี๊ดแตกด้วยความกลัวอย่างไม่ห่วงสวยเลย หน้าตาจะเต็มที่มาก เรียกว่าต้องกรี๊ดกันจนเจ็บคอเลย แต่ทุกครั้งที่กรี๊ดเสียงจะคงที่มาก คงระดับทุกเทคจนผู้กำกับทึ่งในตัว “พลอย” มาก เพราะไม่ว่าจะกรี๊ดอย่างไรเสียงก็ไม่หมด คือ “พลอย” เล่นใส่อารมณ์จริง ๆ กรี๊ดจริง ทำให้รู้สึกได้เลยว่าตัวละครตัวนี้เผชิญความกดดันมาเต็มที่แล้วและพร้อมที่จะระเบิดออกมา คือ “พลอย”สามารถระบายอารมณ์ออกมาทางเสียง สีหน้า และท่าทางได้อย่างเต็มที่ สุดยอดจริง ๆ

…เรียกว่างานนี้ “พลอย” เต็มที่และทุ่มเทมากที่สุดในชีวิตการแสดง เตรียมตัวไว้ให้ดีเพราะ “Last Fright” จะทำให้คุณผวาและหลอนไปกับเธอตลอดการเดินทาง…

 

Share this article :

แสดงความคิดเห็น