Home » » เพื่อน...กูรักมึงว่ะ

เพื่อน...กูรักมึงว่ะ


เพื่อน..กูรักมึงว่ะ

นำแสดงโดย : รัตน บัลลังก์ โตสวัสดิ์, ชัยวัฒน์ ทองแสง, ฌัชชา รุจินานนท์, วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย, อุทุมพร ศิลาพันธ์, รัชนู บุญชูดวง, ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง, สุเชาว์ พงษ์วิไล
กำกับโดย : พจน์ อานนท์ (หอแต๋วแตก)
บทภาพยนตร์โดย : พจน์ อานนท์
อำนวยการสร้างโดย : สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
สร้างโดย : ฟิล์ม กูรู (Film GuRu)
ภาพยนตร์โดย : สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
กำหนดฉาย : 13 กันยายน 2550

นี่คือเรื่องราวของชายสองคนที่รักกัน… แต่ไม่มีวันสมหวังในความรัก
นี่คือเรื่องราวของความรัก… ที่แม้ไม่สมควรเกิด
แต่เมื่อมันพร้อม… ก็ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้…

“เพื่อน…กูรักมึงว่ะ”

ภาพยนตร์ “รัก” ที่ดีที่สุดของ “พจน์ อานนท์”

13 กันยายน 2550 ร่วมเป็นประจักษ์พยานแห่งรักของพวกเขา

ผลงานภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ พจน์ อานนท์ กับเรื่องราวความรักเฉพาะกิจที่เขาอยากทำมาทั้งชีวิต ครั้งแรกของวงการภาพยนตร์ไทยที่กล้าเปลือยหัวใจลึก ๆ ของลูกผู้ชายอก 3 ศอกบางคน ขอต้อนรับทุกท่าน เข้าสู่โลกของความรักที่ไม่มีกฎเกณฑ์มาคั่นกลาง ความรักของผู้ชายที่ไม่ได้มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่เป็นคำตอบของหัวใจ ความรักในแบบฉบับที่ใครหลายคนไม่กล้าเปิดใจยอมรับมัน รักแท้ของชายกับชายที่อาจยืนยาวและมั่นคงกว่าที่คุณคิด เรื่องรักของ“เขา” กับ “เขา” เรื่องราวความรักระหว่างชายหนุ่มสองคน ที่ชีวิตของทั้งคู่เป็นเหมือนเส้นขนาน ที่ไม่มีวันโคจรมาเจอกันได้ แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตา กลับนำพาให้มาทาบทับในวังวนแห่งรักของกันและกัน

 

เรื่องรักของ…”เขา” กับ “เขา”

…เรื่องราวความรักระหว่างชายหนุ่มสองคนที่ชีวิตของทั้งคู่เป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันโคจรมาเจอกันได้ แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตากลับนำพาให้มาทาบทับในวังวนแห่งรักของกันและกัน

“เมฆ” (รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์) ชายหนุ่มพูดน้อย เขาไม่เคยรักใครและไม่คิดจะรักใคร นอกจากแม่และ “หมอก” (วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย) น้องชายคนเดียวของเขาเท่านั้น เมฆอาศัยอยู่คนเดียว เปลี่ยนชื่อและที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ตามความสะดวกและปลอดภัยของงาน เมฆทำงานที่ไม่มีความแน่นอน เขาทำงานที่ไม่สมควรมีความรัก…เมฆเป็นมือปืน

…เมฆถูกหมอบหมายภารกิจฆ่าครั้งใหม่ เป้าหมายของเขาคือ “อิฐ” (ชัยวัฒน์ ทองแสง) ชายหนุ่มหน้าตาดี มีฐานะ แต่อิฐกลับรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างในการหล่อเลี้ยงชีวิตรัก แม้เขาจะมี “ทราย” (ฌัชชา รุจินานนท์) ผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วยในไม่ช้า…อยู่เคียงกายก็ตาม

…เมฆเฝ้าติดตามอิฐทุกฝีก้าวเพื่อทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ แต่เมื่อถึงเวลาลงมือจริง เขากลับฆ่าอิฐไม่ได้ อะไรบางอย่างในใจของเขาต่อต้านการกระทำครั้งนี้…อย่างรุนแรง

…นั่นทำให้เมฆและอิฐถูกตามล่าจากหัวหน้าใหญ่ของเมฆ จนเมฆได้รับบาดเจ็บ ทั้งคู่พากันมาหลบที่ห้องของเมฆ อิฐคอยเฝ้าดูแลรักษาเมฆที่บาดเจ็บจนอาการดีขึ้น

…เมื่อความชิดใกล้ได้ก่อเกิด ความรู้สึกบางอย่างลึก ๆ ภายในใจของทั้งคู่จึงแปรเปลี่ยนเป็นความโหยหา…ความรักที่ทั้งคู่ปิดบังซ่อนเร้นอยู่ภายในได้ถาโถมเข้าใส่จนเกินต้านทาน

…แต่แล้วก็เป็นดั่งปลาว่ายทวนกระแสน้ำ มือปืนอย่างเมฆไม่อาจทำใจยอมรับความสัมพันธ์ที่เขาเองก็ยังสับสนว่าเป็นความรักจากใจหรือความใคร่ชั่วข้ามคืนที่เกิดขึ้นนี้ได้ เมฆพยายามหนีหัวใจของตัวเองอย่างถึงที่สุด แต่อิฐก็ไม่ลดละที่จะออกตามหาเมฆที่เป็นเหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิตที่หายไป…อย่างไม่รู้ชะตากรรม

…เมฆฝืนตัดใจและบังคับตัวเองให้กลับมาสะสางภารกิจสุดท้ายให้เสร็จสิ้น เพื่อที่จะพาแม่และน้องชายที่ทั้งคู่ติดเอดส์จากพ่อเลี้ยงไปรักษาตัวและอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง

…แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่เมฆคาดหวังไว้

…ทางด้านอิฐก็ได้แต่เฝ้ารอ…รอ และรอ รอวันที่เขาจะได้พบกับเมฆอีกครั้ง และบอกความในใจแก่เขา ก่อนที่มันจะสายเกินไป

…ท่ามกลางความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศที่เกินหยั่งได้ แต่ภายในใจของทั้งอิฐและเมฆกลับปรวนแปรเอ่อล้นด้วยแรงปรารถนาและความคะนึงหากันและกัน…ยิ่งกว่านั้น

…และแล้ว…วันที่ทั้งคู่ได้พบกันและน่าจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง…ก็มาถึง

…แต่ทว่า…โชคชะตาก็ย้อนกลับมาเล่นตลกกับความรักของเขาทั้งคู่อีกครั้ง…เช่นกัน

…หรือ…ความรักของทั้งคู่จะเป็นได้เพียงเส้นขนาน ที่ไม่อาจกลับมาทาบทับกันและกันได้อีก…ตลอดไป


ทีมงานสร้าง : อิโรติก-โรแมนติก-ดราม่า (แนวภาพยนตร์) / สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล (บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย) / ฟิล์ม กูรู (บริษัทดำเนินงานสร้าง) / สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ (อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร) /พจน์ อานนท์ ควบคุมงานสร้าง) / พจน์ อานนท์ (ผู้กำกับภาพยนตร์) / ทิวา เมยไธสง (กำกับภาพ) / กูรู ทีม (กำกับศิลป์) / เพ็ญพิชชา ลิ้มกลิ่นแก้ว (ผู้จัดการกองถ่าย) / ทิวา เมยไธสง (ลำดับภาพ) / ทิณกร แสงศรี (ออกแบบเครื่องแต่งกาย) / วรธน กฤษณะกลิน (ออกแบบการแต่งหน้า) / อดิช เยี่ยมฉวี, ปริญญา ปานตั้น (แต่งหน้า) / อดิช เยี่ยมฉวี, ฐาน ธัญศญาพร, สิริวรรณ ศิริพร (แต่งหน้าเอฟเฟคต์) / เกันตนา (บันทึกเสียง), ไจแอ้นท์ เวฟ (ดนตรีประกอบ), จุลานนท์ แสงไพฑูรย์ (โลเกชั่น) / กันตนา (บันทึกเสียง) / 105 นาที (ความยาว) / อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม (Calories Blah Blah) (เพลงประกอบภาพยนตร์) / 

 ผู้กำกับ : พจน์ อานนท์

นักแสดง:

รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์ .... เมฆ 

ชัยวัฒน์ ทองแสง .... อิฐ 

วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย .... หมอก 

ฌัชชา รุจินานนท์ .... ทราย 

สุเชาว์ พงษ์วิไล  

ชนประคัลภ์ จันทร์เรือง  

อุทุมพร ศิลาพันธ์  

รัชนู บุญชูดวง  


วันที่เข้าฉาย: 13 กันยายน 2550


นำแสดงโดย: รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์, ชัยวัฒน์ ทองแสง, วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย, ฌัชชา รุจินานนท์, อุทุมพร ศิลาพันธ์, รัชนู บุญชูดวง, ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง, สุเชาว์ พงษ์วิไล, สหัสชัย ชุมรุม

เรื่องรัก…ลับ-เร้น-ลึก

…ผลงานภาพยนตร์อิโรติก-โรแมนติก-ดราม่าเรื่องล่าสุดของผู้กำกับไอเดียล้น “พจน์ อานนท์” (สติแตกสุดขั้วโลก, 18 ฝนคนอันตราย, โกซิกส์: โกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตอแหล, ว้ายบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก, ปล้นนะยะ, เอ๋อเหรอ และหอแต๋วแตก) กับเรื่องราวเร้นลึกของความรักที่เขาอยากทำมาทั้งชีวิต ครั้งแรกของวงการภาพยนตร์ไทยที่กล้าเปลือยหัวใจลึก ๆ ของลูกผู้ชายอก 3 ศอก…บางคน

“สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” และ “ฟิล์ม กูร” ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่โลกของความรักที่ไม่มีกฎเกณฑ์มาคั่นกลาง ความรักของผู้ชายที่ไม่ได้มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่เป็นคำตอบของหัวใจ ความรักในแบบฉบับที่ใครหลายคนไม่กล้าเปิดใจยอมรับมัน

“เพื่อน…กูรักมึงว่ะ” (Bangkok Love Story) จะเป็นบทพิสูจน์รักแท้ของชายกับชายที่อาจยืนยาวและมั่นคงกว่าที่คุณคิด…

“หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมอยากทำมานานแล้ว จริง ๆ ส่วนตัวจะชอบและอยากทำหนังรักดราม่าแบบนี้มากกว่าแนวอื่น ๆ อีก คืออยากทำให้คนในสังคมรู้ว่าความรักแบบจริงจัง เป็นรักแท้ของเพศที่สามหรือคนที่เป็นเกย์มันก็มี ไม่ใช่มีแต่พวกรักสนุกเท่านั้น ก็จะเป็นเรื่องราวความรักที่มั่นคงของผู้ชายสองคน ซึ่งถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็อาจจะได้รู้ว่า รักแบบนี้มันมีอยู่จริง ๆ ในโลกนี้ด้วย ซึ่งจริง ๆ เรื่องนี้ก็ไม่ได้จำเพาะเจาะจงแค่ความรักของเพศที่สามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาสังคม การเป็นโรคเอดส์ การที่คนเป็นโรคเอดส์ถูกสังคมรังเกียจ มันก็จะมีสาระหลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ แบบ เคลือบอยู่ด้วย ก็เลยทำอะไรที่อยากทำให้คนได้รู้ว่า นอกจากเพศชาย เพศหญิงแล้ว ก็ยังมีเพศที่สามอยู่ร่วมในสังคมเราด้วย ในเมื่อเค้าเกิดขึ้นมาแล้ว เราจะทำยังไงให้เค้าอยู่อย่างมีความสุขด้วยกัน ให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ก็เลยคิดที่จะทำตรงนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนรู้ว่าชีวิตของเกย์ไม่ได้มีแต่ด้านสนุกอย่างเดียว ด้านมืดก็มี ด้านที่เป็นดราม่า ด้านที่เป็นโรแมนติกของเค้าก็มี ก็เลยเกิดเป็นหนังเรื่องนี้ขึ้นมา”

…หากจะว่าไปแล้ว มันอาจจะดูเหมือนเป็นภาพยนตร์ที่แปลกผิดหูผิดตาของผู้กำกับ “พจน์ อานนท์” อย่างมาก เพราะแนวหนังส่วนใหญ่ที่เขาเคยทำมาจะเป็นภาพยนตร์ตลกเสียมาก แต่กับภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้พูดได้เต็มปากว่า “เป็นตัวตนของเขามากที่สุด” ที่เขาทุ่มเททั้งกายและใจเกือบทั้งชีวิตในการกำกับ

“จริง ๆ ก็อย่างที่บอก คือส่วนตัวเป็นคนที่ชอบหนังรัก หนังดราม่าอะไรอย่างงี้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะได้ทำแต่หนังตลกกะเทยจนเหมือนเป็นเอกลักษณ์ แต่จริง ๆ เราก็เคยทำหนังดราม่ามาแล้วอย่าง ’18 ฝนคนอันตราย’ แล้วก็ ‘เอ๋อเหรอ’ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ทีนี้ก็มีโอกาสได้ทำหนังอีกแนวหนึ่งที่อยากทำมานานมากแล้วอย่างเรื่อง ‘เพื่อน…กูรักมึงว่ะ’ นี้ ก็เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ซึ่งมันก็เป็นหนังรักที่เป็นความรักของผู้ชายกับผู้ชายที่มีจริง ๆ ในสังคมเรา มันก็ไม่ได้ต่างจากความรักของชายหญิงเท่าไหร่เลย ถ้าจะให้เปลี่ยนมาเป็นเรื่องรักของผู้ชายกับผู้หญิงก็ทำได้นะ แต่ในเมื่อได้รับโอกาสดี ๆ ในการทำหนังรักของชายกับชายที่ไม่ค่อยได้เห็นกันในหนังไทย เราก็ต้องเลือกทางที่ชอบนี้ไว้ก่อน ก็เป็นหนังอีกแนวหนึ่งที่พลิกมาทำ คนที่มาดูก็อาจจะแปลกใจว่าพจน์ อานนท์ทำหนังอย่างงี้ด้วยเหรอ ก็เป็นหนังอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำ ถ้าถามว่าหนังเรื่องนี้คือหนังที่ใช่ตัวพจน์ อานนท์มากที่สุดมั้ย คำตอบคือใช่แน่นอน”

 

…นอกจากแนวหนังที่เปลี่ยนไปแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังได้ทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรงเกือบทั้งหมดมาร่วมงานกับผู้กำกับไอเดียจัดจ้าน เพื่อให้ผลงานที่ออกมาถึงคุณภาพมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “งานด้านภาพ” ที่ได้ผู้กำกับภาพ “ทิวา เมยไธสง” มากำหนดมุมกล้องและสร้างสรรค์ภาพให้ออกมาสวยงามทุกองศา เพื่อให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำและซาบซึ้งไปกับความรักของสองชายหนุ่มที่คุณมิอาจปฏิเสธได้



…ผู้กำกับภาพ “ทิวา เมยไธสง” ร่ายยาวถึงการทำงานในครั้งนี้ว่า

“เริ่มจากว่าพี่พจน์ผู้กำกับต้องการภาพในการเล่าเรื่อง ต้องการบรรยากาศของหนัง ซึ่งเน้นความหดหู่ รันทดของชีวิต เราก็เลยเอาโจทย์นี้มาทำการบ้านกันว่า หนังควรจะออกมาเป็นแบบไหน ภาพควรจะเล่าเรื่องได้ประมาณไหนบ้าง และเมื่อพูดคุยกันแล้วสรุปได้ว่า หนังเราควรจะให้ภาพเป็นตัวสื่อความหมาย แทนความรู้สึกของตัวละคร เราจะจัดบรรยากาศของเรื่องอยู่ในโทนแบบไหนดี เพื่อให้เข้ากับ mood ของหนัง ถ้าในตัวหนังพูดถึงความรันทด ชีวิตที่หดหู่ ภาพก็น่าจะบอกเล่าตรงนั้นได้ด้วย เราเลยคิดว่าวิธีการทำภาพของเราน่าจะแปลกกว่าปกติ น่าจะมีอะไรที่แตกต่างจากหนังรักทั่ว ๆ ไป ซึ่งถ้าเป็นรักแบบชายหญิงมันก็น่าจะสดใส เห็นความงดงามของการมีชีวิต แต่สำหรับความรู้สึกของผู้ชายกับผู้ชายที่รักกันเกินกว่าคำว่าเพื่อน เกินกว่าอารมณ์รักของผู้หญิงกับผู้ชายด้วยซ้ำไป มันก็น่าจะมีอะไรที่เกินกว่านั้น ภาพที่ใช้ก็เลยต้องมีอะไรที่แตกต่าง ลักษณะการใช้เลนส์การใช้อุปกรณ์หลาย ๆ อย่าง เพื่อ support อารมณ์ในช่วงเวลานั้น อย่างช่วงหนึ่งของหนังเราถ่ายทำด้วยกล้อง 16 ในลักษณะแบบหนังโบราณ ซึ่งใช้กล้องไขลาน feel ของเรื่องก็จะออกมาทางภาพด้วยว่าอารมณ์ในช่วงนั้นทำไมต้องหดหู่ขนาดนั้น รันทดขนาดนี้ หรือว่าภาพต้องแสดงออกแทนคำพูดได้มากมายขนาดไหน ทุกอย่างก็เลยเหมือนกับรวม ๆ ไว้ในภาพ ๆ หนึ่ง แล้วบอกว่าตัวละครคือ subject หนึ่งในภาพ แต่เรื่องราวถูกเล่าด้วยบรรยากาศและเฟรมของหนัง

จริง ๆ ภาพในหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ถึงกับว่าไม่เคยได้เห็นจากหนังเรื่องอื่น แต่ว่าเราพยายามมองในมุมที่คนอื่นเขาไม่มองกัน ผมจะเลือกใช้ภาพซึ่งไม่ใช่ภาพในระดับสายตา คือถ้าไม่มองต่ำก็มองสูงเลย เรารู้สึกว่าตัวละครของเราถูกกระทำจากสภาพแวดล้อมภายนอก ทำให้เขาเป็นและรู้สึกอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยู่กับเราไม่ได้ ถึงเขาจะแตกต่างจากเรา แต่เขาก็อยู่ในสังคมเดียวกับเราได้ ภาพที่ออกมาในหนังก็จะสื่อสารได้ประมาณนี้นะครับ

การร่วมงานกับพี่พจน์ ปกติเราทำงานด้วยความรับผิดชอบ ด้วยบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนอยู่แล้ว ทางผู้กำกับก็จะมีไอเดีย มีทิศทาง ซึ่งเขาจะต้องควบคุมตัวหนังทั้งเรื่องอยู่แล้ว เราเป็นคนแค่คอย support ไอเดียของผู้กำกับ แต่ก็มีการแชร์ไอเดียและร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย เพื่อที่จะให้มันออกมาเป็นผลที่ดีที่สุดของงานชิ้นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดีในบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนครับ”

 

…ด้านผู้กำกับพจน์ อานนท์ กล่าวเสริมถึงการร่วมงานกันเป็นครั้งแรกของทั้งคู่อย่างชื่นชมว่า

“พูดถึงผู้กำกับภาพ จิ๊บ (ทิวา เมยไธสง) เค้าก็เป็นผู้กำกับภาพอยู่แล้ว พอดีคุยกันว่าอยากได้จิ๊บมาช่วยถ่าย ซึ่งจิ๊บจะเก่งทางด้านนี้มาก ซึ่งหนังเรื่องจะโดดเด่นทางด้านภาพมาก ทั้งภาพ สกอร์เพลง ฉาก เครื่องแต่งกาย มันจะโดดเด่นและลงตัวมาก ซึ่งจริง ๆ เราจะเป็นคนที่ชอบหนังที่สื่อสารด้วยภาพอย่างงี้อยู่แล้ว มันจะเป็นจุดที่น่าสนใจมากทางด้านภาพในหนังเรื่องนี้ ทำงานกับจิ๊บก็รู้สึกว่าสบายใจ แล้วก็เข้าขากัน เพราะเค้าก็เป็นเด็กใหม่ เราก็ยอมรับ เราก็ปล่อยเค้าเต็มที่ ให้เค้าจะทดลองทำอะไรใหม่ ๆ ในหนังเราก็ได้ แต่เราก็คุยกันก่อนว่าทำอย่างงี้ ๆ นะ เค้าก็ทำตามที่เราอยากได้ จิ๊บก็เป็นคนเก่ง เป็นคนที่ถ่ายภาพได้สวยมาก ยืนยันได้ว่า เรื่องนี้ภาพสวยแน่ ๆ และสื่อสารได้เข้ากับธีมเรื่องด้วยครับ”

…แน่นอนว่า ก่อนที่เราจะได้ภาพสวย ๆ อย่างที่เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ องค์ประกอบสำคัญที่ต้องอยู่ควบคู่กันไปก็คือ “สถานที่ถ่ายทำ” ซึ่งสิ่งที่ผู้กำกับฯ ต้องการเน้นก็คือ “ความเป็นกรุงเทพฯ” ที่เป็นเมืองศิวิไลซ์ มหานครแห่งความรักที่แตกต่างไปจากเมืองอื่น ๆ

“โลเกชั่นในเรื่องนี้ เราก็เลือกอย่างที่อยากให้เป็น คืออยากให้มันอยู่ใจกลางกรุงเทพ อยากให้เห็นความสวยงามของกรุงเทพ สะท้อนความศิวิไลซ์ด้านต่าง ๆ ของเมืองหลวง แล้วก็อยากได้เมฆ อยากได้ท้องฟ้าที่มันเข้ากับอารมณ์ของหนังพอดี เราก็จะไปตรงนั้น โลเกชั่นเราก็เลือกกันหลายที่มาก แล้วก็มาสรุปให้ตรงกับคอนเส็ปต์ที่วางไว้ เราก็เน้นอะไรที่เป็นกรุงเทพมากที่สุด เพราะมันเป็นหนังในเมือง อย่างเช่น ดาดฟ้าโรงพยาบาลยาสูบที่เป็นฉากหลักของเรื่อง เราก็จะสะท้อนความเป็นสังคมเมือง ให้เห็นตึกรามบ้านช่อง อาคารสูงที่ความเจริญต่าง ๆ เข้าถึง อย่างเช่น มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านอะไรอย่างงี้ ซึ่งทั้งหมดก็จะโอบล้อมเรื่องราวความรักของผู้ชายสองคนนี้ที่เหมือนเป็นจุดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวง แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ เราก็ทำตรงนี้ให้ตรงจุดที่เราอยากได้ เราก็สื่อให้เห็นความเจริญของกรุงเทพให้มากที่สุด ก็น่าจะขายเมืองนอกได้ เพราะเราอยากให้เห็นว่า นี่คือความรักอีกรูปแบบหนึ่งของคนไทย ซึ่งสุดท้ายแล้วทั้งฉาก ทั้งการจัดแสง ทั้งการถ่ายภาพผ่านโลเกชั่นต่าง ๆ มันก็ลงตัวอย่างที่เราอยากได้ครับ”

 

…สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาและจุดขายสำคัญในภาพยนตร์ของพจน์ อานนท์ทุกเรื่องก็คือ “นักแสดงชื่อดัง” ที่เป็นตัวสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี แต่กับภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อน…กูรักมึงว่ะ” นี้ เขากลับเลือกที่จะใช้ “นักแสดงหน้าใหม่” ทั้งหมดกับการรับบทนำในเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้ชมเข้าถึงและเชื่อในบทบาทของตัวละครได้ง่ายกว่า

“ในหนังเรื่องนี้ เราก็อยากได้นักแสดงหน้าใหม่มาเล่นทั้ง 3 คนเลย เพราะว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องความน่าเชื่อถือ เพราะถ้าเอาดาราที่คุ้นหน้ามาเล่น ซึ่งเราก็เคยติดต่อดาราดัง ๆ มาเล่นหลายคน แต่ติดปัญหาที่ว่า เค้าก็ไม่ค่อยกล้าเล่นกัน และที่สำคัญคือคนดูก็จะไม่เชื่อว่าเค้าเป็นตัวละครในเรื่องด้วย

หลัก ๆ ก็จะคัดเลือกจากหน้าตาและบุคลิกที่เข้ากับคาแร็คเตอร์เป็นสำคัญครับ อย่าง เอ (รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์) เค้าเคยผ่านงานละครมาบ้าง แต่ไม่เคยเล่นหนังเลย บุคลิกเค้าก็ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ เคร่งขรึม ก็เหมาะกับบท ‘เมฆ’ มือปืนพูดน้อย ไม่แสดงความรู้สึก เอจะเป็นคนที่เข้าใจการแสดงมากที่สุด อธิบายแค่ครั้งเดียว เค้าก็จะเล่นได้อย่างสบาย ๆ แล้ว ถือว่าเป็นนักแสดงที่อนาคตไกลแน่นอนครับ

ส่วนอีกคนนี่หน้าใหม่จริง ๆ ก็คือ ต๊อบ (ชัยวัฒน์ ทองแสง) หน้าตาและหน่วยก้านลงตัวกับบทนี้มาก ๆ ตอนที่เราเลือกให้มาเล่นบท ‘อิฐ’ ในหนังเรื่องนี้ เค้าก็ยังไม่เคยผ่านงานบันเทิงมาก่อนเลย เราก็เอาเค้ามาประเดิมกับเรื่องนี้ แต่พอปิดกล้องไปแล้ว เค้าก็มีงานหนัง, งานโฆษณา, ถ่ายแบบ ออกมาเยอะแยะ แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียอะไรที่หนังเรื่องนี้ออกฉายช้ากว่า เพราะต็อบเล่นเรื่องนี้ คนดูจะเชื่อเลยว่าเค้าเป็นอย่างในเรื่องจริง ๆ

คนสุดท้าย กัส (วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย) เคยผ่านงานหนังมาบ้างแต่ไม่เด่นเท่าไหร่ แต่กับเรื่องนี้เราจัดการปรับลุคเค้าให้เปลี่ยนจากเรื่องอื่นไปเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเค้าเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เหมาะกับบท ‘หมอก’ ที่เป็นพวกเก็บกด จะแสดงอารมณ์ทางสีหน้าแววตามากกว่าคำพูด แล้วในเรื่องนี้เค้าจะทรหดมาก เพราะต้องแต่งแผลคนเป็นเอดส์นานหลายชั่วโมงกว่าจะได้ถ่ายในแต่ละฉาก และเค้าก็แสดงได้ดีขึ้นเยอะครับ

ซึ่งดาราหน้าใหม่ที่เอามาเล่นทั้งหมดเนี่ย ยืนยันเลยว่าเค้าไม่ได้เป็นเกย์ แต่เค้าก็เล่นให้คนดูเชื่อว่าเค้าเป็นเกย์ได้ ซึ่งเราก็ประสบความสำเร็จในจุดหนึ่งว่าสามารถทำให้คนดูเชื่อในความเป็นเกย์ของเค้า และมันก็ยังง่ายต่อการทำหนัง เพราะคนยังไม่เคยเห็นพวกเค้าเล่นหนัง แต่ถ้าเราเอาคนดังมาเล่นเนี่ยมันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนดูเชื่อ เพราะว่าสิ่งสำคัญเลย เราต้องทำหนังที่ทำยังไงก็ได้ ให้คนดูเชื่อและก็คล้อยตามให้ได้ก่อน ซึ่งทั้ง 3 คนก็ผ่านฉลุยหายห่วง

พูดถึงต้องสอนการแสดงมั้ย เราก็สอนนะ แล้วเราก็เครียดมาก ๆ ด้วย บางทีนักแสดงกับผู้กำกับก็ทะเลาะกันเลย เพราะว่าเราต้องการให้สมจริง เพราะจริง ๆ พวกนี้ก็คือเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แบบห้าว ๆ ซน ๆ ทั่วไป แล้วเราต้องมาปรับให้เค้าเล่นอ่อนเล่นนุ่ม เล่นเป็นผู้ชายกับผู้ชายชอบกัน ซึ่งมันก็ยากพอสมควร แต่เราก็ทำให้มันเนียนที่สุด ก็อย่างที่บอกไป เค้าไม่ใช่เกย์เลย แต่เค้าก็เล่นได้ดี มันคือการแสดงเท่านั้นเอง

การร่วมงานกับหน้าใหม่ทั้ง 3 คนก็รู้สึกสบายใจ ให้เวลาเต็มที่ แล้วก็ทุ่มเทกับการแสดง ซึ่งเค้าก็เล่นได้อย่างที่เราต้องการ แม้เค้าจะไม่ได้เป็นเกย์ แต่เล่นได้อย่างน่าเชื่อขนาดนี้ก็ต้องยอมรับในความสามารถครับ”

 

…นอกจากนักแสดงหนุ่มหน้าใหม่ทั้งสามหน่อแล้ว ผู้กำกับยังเลือก “นักแสดงมากฝีมือ” มาร่วมเสริมทัพ เติมเต็มความสมบูรณ์ในเรื่องนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ฌัชชา รุจินานนท์, อุทุมพร ศิลาพันธ์, รัชนู บุญชูดวง, ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง, สุเชาว์ พงษ์วิไล และ สหัสชัย ชุมรุม ซึ่งทั้งหมดการันตีการแสดงด้วยฝีมือเกินร้อย

“คือ ในเรื่องนี้ก็จะมีหน้าใหม่อยู่ 3 คน แล้วเราก็เอาดาราที่เป็นแม่เหล็กมีฝีมือทางการแสดงมาก ๆ ความสามารถล้นเหลือเนี่ยมาล้อมพวกเค้าไว้ มาช่วยกันดัน มาช่วยกันทำให้เค้ามีพลังมากขึ้น ที่เลือกมาก็มี อาจารย์ชลประคัลภ์, อาสุเชาว์, พี่อี๊ด รัชนู, พี่จุ๋ม อุทุมพร และก็มีน้องหญิง ฌัชชา กับพี่ต๊อบ สหัสชัย ซึ่งทั้งหมดเนี่ยก็เป็นนักแสดงที่มีฝีมือระดับแนวหน้า มาช่วยกันดันเด็กใหม่ ช่วยประคับประคองให้หนังมันสมบูรณ์แบบมากขึ้น แต่ยังไงดาราใหม่ทั้งสามคนเนี่ย เค้าก็ทำเต็มที่ แล้วก็เล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่เราอยากได้แล้วก็ต้องขอบคุณดารารุ่นใหญ่ที่มาร่วมทำให้หนังสมบูรณ์มากขึ้น เค้าก็สุดฝีมือเหมือนกัน ถ้าดูแล้วก็จะรู้ว่านักแสดงชุดนี้ฝีมือเจ๋งจริง ๆ”

…ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่คนดูกลุ่มเป้าหมายสนใจค่อนข้างมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ฉากเลิฟซีน ซึ่งผู้กำกับฯ เปิดเผยว่า นี่เป็นสิ่งที่หินที่สุดอย่างหนึ่งในการกำกับเลยทีเดียว

“ฉากที่กำกับยากที่สุดก็น่าจะเป็นฉากเลิฟซีนนะครับ เพราะการที่ต้องกำกับให้ผู้ชายกับผู้ชายมาเล่นเลิฟซีนด้วยกันเนี่ย ก็ทำให้เราหนักใจมากว่าเค้าทั้งคู่จะทำได้มั้ย เราก็ต้องอธิบายให้เค้าฟัง ให้ทั้งคู่เข้าใจในบทบาทของกันและกัน วิธีหนึ่งที่ใช้ก็คือให้เค้าคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง แต่ปรากฏว่าทั้งคู่ก็ไม่เคยกับผู้หญิงอีก อันนี้พูดเล่นนะ (หัวเราะ) ก็บอกเค้าให้นึกถึงว่าเวลาเลิฟซีนกับผู้หญิงน่ะทำยังไง ให้ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายคือผู้หญิง แล้วก็ให้เล่นกันไปตามธรรมชาติ จะว่าไปแรก ๆ ทั้งคู่ก็เครียดนะ บ้วนปากแล้วบ้วนปากอีก (หัวเราะ) ซึ่งเวลาถ่ายเราก็แบบขอให้เล่นอย่างเต็มที่เลย อย่ามัวเขินกัน จะได้ถ่ายครั้งเดียวผ่านเลย เค้าก็ตั้งใจเล่นกันมาก แล้วก็เล่นออกมาดีมากด้วย และที่สำคัญภาพเลิฟซีนในเรื่องนี้จะออกมาเป็นฉากอิโรติกที่สวยงามมาก มันจะเน้นแบบว่าภาพสวย อารมณ์คล้อยตามกันไปมากกว่า ไม่ใช่ออกมาแบบโจ๋งครึ่ม ๆ แน่นอน เราขอทำแบบเน้นความสวยงามมากกว่า รับรองไม่น่าเกลียดครับ ก็ต้องลองไปดูกันครับ”

 

“เพลงประกอบภาพยนตร์” และ “ใบปิดภาพยนตร์” คือ อีก 2 องค์ประกอบที่ผู้กำกับพจน์ อานนท์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเน้นย้ำถึงความสวยงามของทั้งภาษาเพลง การถ่ายภาพ (ที่ได้ช่างภาพมือหนึ่งของประเทศอย่าง “อมาตย์ นิมิตภาคย์” มาลั่นชัตเตอร์ให้) และการออกแบบ (โดย ปั่น กำ-ปะ-นี) ที่ทั้งหมดต้องเข้ากันได้ดีกับแนวทางของภาพยนตร์อิโรติก-โรแมนติก-ดราม่าเรื่องนี้เป็นหลักด้วย

“หนังเรื่องนี้ นอกจากภาพจะสวยแล้ว เพลงประกอบก็เพราะด้วย เราเลือกเพลงกันอยู่นานพอสมควร ในที่สุดก็ได้เพลง ‘อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม’ ที่ร้องโดย Calories Blah Blah ซึ่งเนื้อหาของเพลงก็โดนใจ ตรงกับเนื้อเรื่องมาก ๆ โดยเราก็นำมาทำใหม่ให้เข้ากับอารมณ์เหงา ๆ ของตัวละครมากขึ้นด้วย

ส่วนการถ่ายโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ เราก็มีคอนเส็ปต์คืออยากได้อะไรที่มันดูเป็นธรรมชาติ ๆ เป็นอะไรที่แบบว่าเรียลิตี้ สมูธ แอนด์ แซลมอน (หัวเราะ) พูดเล่นนะ คืออยากให้ดูเป็นความรักแบบชายหญิงที่เป็นธรรมชาติที่สุด ในคอนเส็ปต์ความรักกลางใจเมืองใหญ่ (Love in the Big City) เป็นอีกมุมหนึ่งของความรักที่จะทำให้เห็นว่า ความรักอย่างงี้มันมีจริง ๆ นะ และมีเยอะด้วยในยุคนี้ แต่ไม่มีใครสร้างกันออกมา เราก็จะสะท้อนออกมาทั้งในโปสเตอร์และก็ในตัวหนังจริง ๆ ด้วยว่า มันเป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่งนะ ผู้ชายสองคนรักกัน ที่ไหน ๆ ในโลกเค้าก็มีกัน แล้วเรื่องนี้เราก็มุ่งเน้นไปที่ตลาดต่างประเทศด้วย เพราะเค้าไม่ค่อยได้เห็นหนังเกย์ไทย ๆ แบบนี้ซักเท่าไหร่ ก็น่าจะได้รับความสนใจจากเมืองนอกเยอะนะ

ส่วนที่เลือกพี่ใหญ่-อมาตย์ มาถ่ายโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ ก็เพราะพี่ใหญ่ถ่ายภาพผู้ชายออกมาแล้วสวย จากผลงานที่ผ่านมาตามนิตยสารหัวใหญ่หลาย ๆ เล่ม พี่เค้าจะรู้มุมกล้อง รู้จุดดึงดูด สามารถดึงอารมณ์ ท่วงท่า เสน่ห์ของผู้ชาย sex appeal ของผู้ชายออกมาได้ดี พี่ใหญ่เค้าจะรู้มุมว่า ถ่ายยังไงให้ออกมาแล้วเซ็กซี่แบบผู้ชาย ๆ ก็เลยดึงพี่ใหญ่มาร่วมงานด้วยกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พี่ใหญ่มาถ่ายโปสเตอร์หนังด้วย การทำงานก็ราบรื่นดี ไม่มีปัญหาเลย ภาพที่ออกมาก็น่าพอใจมาก ๆ ครับ”



เปิดปูมรักของเขา, เขา และเขา

รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์ (รับบทเป็น เมฆ) – มือปืนหนุ่มที่มีใจเด็ดเดี่ยวในการปฏิบัติภารกิจฆ่าเหยื่อตามใบสั่ง เขาไม่เคยคิดที่จะรักใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เขาต้อง…ฆ่า แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันให้เขาต้องมาผูกพันอย่างลึกซึ้งกับ “เหยื่อหนุ่ม” รายหนึ่ง ที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิม…ตลอดไป

“ฉากแอ็คชั่นในเรื่องนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเลยนะครับ แต่กับฉากเลิฟซีนก็ยากอยู่นะครับ ไม่เคยเล่นมาก่อน แรก ๆ ที่ต้องเข้าฉากจูบกัน มันก็ต้องรู้สึกแปลก ๆ อยู่แล้วล่ะครับ เป็นครั้งแรกเลยที่ต้องจูบกับผู้ชาย แถมยังต่อหน้ากล้องกับทีมงานอีก ก็ต้องเขินเป็นธรรมดา แต่ดีหน่อยที่จูบกันกลางสายฝน คือน้ำช่วยให้ไม่เหนียวเหนอะติดกัน มันก็ลื่นไหลไปได้ (หัวเราะ) ซึ่งเราต้องคุยกับน้องต๊อบที่เข้าฉากด้วยกันก่อนว่า จริง ๆ พี่ก็ไม่ชอบนะแต่ยังไงก็เล่นให้เต็มที่เลย ขอให้ทีเดียวผ่าน จะได้ไม่ต้องเล่นซ้ำ พี่พจน์ก็ขอให้แสดงจริง ๆ เลย เพราะมันเป็นหนังออกโรง มาหลบมุมกล้องมันก็จะดูไม่สมจริง พอตอนเล่นจริง ๆ ก็เลยเต็มที่ไปเลย มันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนะ แต่จะมาคิดว่าเค้าเป็นผู้หญิงอย่างที่พี่พจน์บอก มันก็ไม่ค่อยได้นะ เพราะว่าเค้าก็มีหนวดเคราเหมือนเรา (หัวเราะ) ก็ต้องคิดว่ามันเป็นการแสดง ก็โอเคได้ นักแสดงที่ดีต้องเล่นให้คนดูเชื่อให้ได้ ก็เต็มที่ครับ แล้วรับรองว่า ฉากเลิฟซีนที่ออกมาภาพจะสวยมาก ไม่อนาจารแน่นอนครับ”

เอ-รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2522 จบการศึกษาปริญญาตรี นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หลายคนน่าจะจำเขาได้จากละครเรื่อง “นรสิงห์” ที่เป็นละครตอนเย็นเรื่องฮิตอีกเรื่องหนึ่งของไทย

…ด้วยหน้าตาและบุคลิกส่วนตัวที่ค่อนข้างเคร่งขรึมและนิ่งเงียบ ผู้กำกับจึงเลือกเขาให้มารับบท “เมฆ” มือปืนที่จัดการภารกิจฆ่าด้วยความใจเย็น แต่ในใจลึก ๆ แล้วเขากลับเก็บอารมณ์ไม่กล้าเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา

…แม้จะเป็นครั้งแรกกับการรับนำในภาพยนตร์ แต่ เอ รัตนบัลลังก์ ก็ไม่มีหวั่น แถมยังปล่อยฝีมือทางการแสดงอย่างยอดเยี่ยมในทุก ๆ ฉาก ไม่ว่าจะเป็นฉากแอ็คชั่น, ดราม่า หรือเลิฟซีน ที่รับรองว่าผู้ชมจะต้องอินไปกับการแสดงของเขาอย่างแน่นอน

ชัยวัฒน์ ทองแสง (รับบทเป็น อิฐ) – ชายหนุ่มหน้าตาดี มีฐานะ แต่ลึก ๆ ภายในใจ เขากลับรู้สึกว่า เหมือนขาดอะไรบางอย่างที่จะมาเติมเต็มหัวใจของเขาไป

แต่แล้ววันหนึ่ง เขาเกิดไปล่วงรู้ความลับบางอย่างเข้า จนเป็นเหตุให้เขาต้องถูกตามฆ่า

แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลก ให้เขารอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด และต้องมาสานสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับ “มือปืนหนุ่ม” ที่ตามฆ่าเขาอย่างไม่คาดคิดมาก่อน

แม้นั่นจะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่ดูเหมือนเขากลับไม่แคร์สิ่งใด เพราะความผูกพันครั้งนี้น่าจะทำให้หัวใจของเขาถูกเติมเต็ม…เสียที

“เรื่องนี้ผมรับบทเป็น อิฐ ครับ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีฐานะ ก็เล่นง่ายเลยครับเพราะตรงกับตัวจริงของผมอยู่แล้ว เอ้ย (หัวเราะ) ไม่ใช่นะครับ เรื่องนี้เล่นยากครับ เพราะเป็นเรื่องแรกของผมด้วย ก็ต้องให้พี่พจน์ผู้กำกับช่วยสอนช่วยบิ้วอารมณ์ เพราะบางฉากก็ต้องใช้อารมณ์ สีหน้า ท่าทางเยอะมาก อย่างฉากร้องไห้ ไม่ใช่ร้องฟูมฟายนะครับ แต่ร้องแบบเก็บความรู้สึกไว้ลึก ๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาค่อย ๆ ไหล เล่นอยู่หลายเทคเหมือนกันครับ

แต่ฉากที่ทำให้เครียดเลย ก็คือ ฉากเลิฟซีน แค่ฉากธรรมดาก็ว่ายากแล้ว นี่ต้องมาเจอกับฉากเลิฟซีนนัวเนียกับผู้ชาย ก็รู้สึกแปลก ๆ ครับ แต่พี่เอ (รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์) เล่นดีมาก ๆ เลยครับ เวลาพี่เออยู่นอกกล้องก็จะเป็นอีกอย่าง พออยู่ในกล้องเหมือนมีวิญญาณเมฆเข้ามาสิงอยู่ในตัว เขาเล่นได้เหมือนมาก จนผมต้องแกล้งแซวเล่นว่า พี่เป็นหรือเปล่า เขาเล่นแบบสมจริง เหมือนเขาส่งอารมณ์มาให้ผมด้วย ผมก็เลยเล่นได้ ต่างคนต่างก็ช่วยกัน ซึ่งสุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดีทั้งหมดครับ

ผมชอบฉากแอบมองกันนะ มันเป็นฉากที่น่ารักมาก คือ ตัวเมฆที่บาดเจ็บก็นอนบนเตียง ส่วนผมนอนอยู่ข้าง ๆ เพื่อคอยดูแลเค้า ทีนี้ผมก็ห้ามใจแอบมองเค้าไม่ได้ ก็แอบมองไม่ให้เค้ารู้ตัว ทีนี้พอตัวเมฆเค้าลืมตาขึ้นมามองผม ผมก็ต้องแกล้งหลับตา พอผมลืมตาเมฆก็หลับตา แล้วต่างคนต่างแอบมองไปซักพัก จนลืมตามาเจอกันจนได้ ก็เขินกันไป ฉากนี้มันก็น่ารักดี แถมตอนถ่ายก็มีฮากันด้วย ก็สนุกดีครับ”

ต๊อบ-ชัยวัฒน์ ทองแสง เกิดเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2532 กำลังศึกษาอยู่ ปี1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ประเดิมผลงานด้วยภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อน…กูรักมึงว่ะ” เป็นเรื่องแรก ก่อนที่จะมี “หอแต๋วแตก” ตามมาเป็นเรื่องที่สอง (แต่ฉายก่อนเรื่องแรก) ผู้ชมน่าจะคุ้นหนาคุ้นตาเขาจากหลากหลายโฆษณาทางทีวี อาทิเช่น โฆษณาทรอส โรลออน, หมากฝรั่ง ไซลิทอล, น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ และ Life Condo

…ด้วยหน้าตามีเสน่ห์และหน่วยก้านสูงใหญ่ เขาจึงได้รับเลือกให้มาเป็นพระเอกภาพยนตร์ครั้งแรกที่ต้องทุ่มเทพลังในการแสดงอย่างเต็มร้อย แต่เขาก็รับผิดชอบในหน้าที่และให้การแสดงได้อย่างน่าพอใจ และระวังคุณจะตกหลุมเสน่ห์เขาอย่างไม่รู้ตัว

วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย (รับบทเป็น หมอก) – น้องชายของเมฆที่เป็นเอดส์ ทำให้เขาต้องเก็บกด พูดน้อย ไม่สู้คน มักจะถูกรังแกและรังเกียจจากคนรอบข้างอยู่เสมอ

หมอกต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอัตคัดกับแม่เพียงลำพังสองคน เฝ้ารอการกลับมาของพี่ชายอย่างไม่รู้ชะตากรรม

เมื่อชีวิตถึงขีดสุด ไร้หนทางไปข้างหน้า เขาจึงจำเป็นต้องขายตัวประชดชีวิต ซึ่งเป็นการทำร้ายตัวเองและสังคมอย่างรุนแรง

สุดท้าย ชีวิตของเขาก็ต้องเผชิญชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เรื่องนี้ผมรับบทเป็นหมอก เป็นน้องชายของเมฆ เป็นคนเก็บกด พูดน้อย ไม่กล้าแสดงความรู้สึก เพราะเป็นเอดส์ ทำให้เกิดปมด้อยในตัวเอง ตัวหมอกก็จะอยู่กับแม่ 2 คน ใช้ชีวิตอย่างลำบากท่ามกลางเพื่อนบ้านที่ไม่ชอบ แล้วก็จะโดนพวกอันธพาลรุมทำร้ายตลอดเวลา แล้วก็จะชอบเลี้ยงปลากัด ชอบดูมันกัดกัน ซึ่งจริง ๆ ก็มาจากการที่มีปมด้อย โดนรังแกตลอด ก็เลยต้องใช้ปลากัดเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ความรู้สึกครับ

เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ผมรับบทหนักที่สุดเท่าที่เคยเล่นมาเลยครับ นอกจากจะต้องเล่นดราม่าสุด ๆ เกือบทุกฉากแล้ว แล้วก็ยังต้องทนแต่งแผลเป็นเอดส์นานหลายชั่วโมงกว่าจะได้เข้าฉาก เพราะแผลมันไม่ใช่เป็นแผลใหญ่ ๆ ไงครับ มันเป็นตุ่มเล็ก ๆ พี่เมคอัพเค้าเลยต้องแต่งละเอียดเพิ่มขึ้นเพื่อความสมจริงครับ ยิ่งฉากท้าย ๆ นี้ต้องแต่งหนักเลยครับ เพราะเข้าขั้นระยะสุดท้ายแล้ว ก็สาหัสอยู่เหมือนกันครับ

ผมว่าเรื่องนี้ผมเล่นดีขึ้นนะครับ (หัวเราะ) เพราะพี่พจน์เคี่ยวหนักมาก ๆ แล้วอีกอย่างต้องมาเล่นกับอาจุ๋ม อุทุมพร ที่เล่นเป็นแม่ จะต้องเข้าฉากด้วยกันเกือบทุกฉาก ตอนแรกก็ตื่นเต้นครับ เล่นไม่ค่อยออก แต่อาจุ๋มก็ช่วยสอนช่วยส่งอารมณ์ ผมก็เลยได้เรียนรู้การแสดงมากขึ้น พัฒนามากขึ้นกว่าสองเรื่องแรกอีกครับ

เรื่องนี้ก็เป็นหนังรักชายกับชายเต็มรูปแบบเรื่องแรกของไทยในแนวดราม่า-โรแมนติก ก็ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ซึ่งผมก็อยากให้มองถึงความรักอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างจากความรักของคนปกติทั่ว ๆ ไป เป็นความรักที่มีความเข้าใจ นอกจากจะเป็นความรักในแบบคู่รักแล้ว ยังสะท้อนสังคมให้เห็นถึงความรักของครอบครัว ๆ หนึ่งอีกด้วย

อีกอย่างหนังก็มีสาระให้รู้ว่า คนที่ติดเชื้อเอดส์ เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะติด ถ้าเค้าติดมาแล้วเราก็ไม่ควรที่จะรังเกียจเขา เพราะโรคนี้ไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้ง่าย ๆ พวกเขาก็เหมือนกับพวกเราคนปกติธรรมดาทั่วไป ก็อยากจะให้มาดูกันนะครับ เพราะเราก็ไม่ได้จะเห็นหนังแนว ๆ นี้ได้บ่อย ๆ ด้วยครับ”

กัส-วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย เกิดวันที่ 3 ส.ค. 2529 กำลังศึกษาอยู่ชั้นปี 2 คณะศิลปศาสตร์ สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ประเดิมวงการบันเทิงด้วยการแสดงภาพยนตร์เรื่อง “ไฉไล” (2549) ตามมาด้วย “หอแต๋วแตก” เมื่อต้นปี 50 ที่ผ่านมา

ล่าสุดกับภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อน…กูรักมึงว่ะ” การันตีฝีมือทางการแสดงที่พัฒนาแบบดีวันดีคืนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจทำให้คุณต้องเสียน้ำตาไปกับเขา…แบบไม่ทันตั้งตัว

 

Share this article :

แสดงความคิดเห็น