Home » » ยังไงก็รัก

ยังไงก็รัก

ยังไงก็รัก

ชื่อภาษาอังกฤษ 7 Days to Leave My Wife

เรื่องย่อ :

จะเป็นอย่างไรเมื่อมีการร่วมมือวางกลยุทธ์เอาความงมงาย และการเชื่อเรื่องโชคลางของคนรัก มาคิดเป็นหนทางกำจัดเธอออกไป

“ย้ง”(ไก่-สมพล ปิยะพงศ์สิริ) หนุ่มใหญ่เชื้อสายจีน อายุไม่เยอะแค่ 30 กว่า ๆ เป็นผู้ดีเก่าตกยาก อนาคตไม่ไกลนักกับตำแหน่งเซลล์แมนบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้า สุขภัณฑ์ห้องน้ำ และเครื่องครัว

ย้งแต่งงานแล้วกับเง็ก (กิ๊ก-สุวัจนี ไชยมุสิก) ซึ่งก็เป็นสาวใหญ่เชื้อสายจีนวัยใกล้เคียงกับย้ง มีนิสัยเหมือนเมียหลวงมาตรฐานคือ แก่ง่าย ตายยาก เง็กขายขนมจุ่ยก้วยอยู่ที่บ้านแถวเยาวราช เธอเชือถือโชคลางเป็นที่สุด

ทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันมา 7 ปี ท่ามกลางเสียงบ่นของเง็ก ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตย้งไปแล้ว บ่อยครั้งที่ย้ง เบื่อมากจนอยากเลิกกับเง็ก แต่ย้งก็ทำไม่ได้เพราะย้งดันไปสาบานไว้กับเตี่ย ก่อนเตี่ยตาย “ถ้าลื้อทิ้งอาเง็กขอให้มีอันเป็นไปในเจ็ดวัน ให้ลื้อเซ็กส์เสื่อมเอาผู้หญิงไม่ได้ตลอดไป”

อันที่จริงย้งสาบานไปอย่างนั้น เพราะต้องการเอาใจเตี่ยก่อนตาย แล้วก็ไม่ได้เชื่อในคำสาบานอะไรนั่นเท่าไหร่นัก แต่หลายครั้งที่มองรูปเตี่ยเป็นต้องมีอภินิหารให้เห็นอยู่ตลอดหลายต่อหลายอย่าง จนย้งนึกหวาด ๆ ยังเลยชักไม่แน่ใจ คำสาบานจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็คิดปลอบใจตัวเองว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่แล้วกัน

จะว่าไปคำสาบานกับเตี่ยนั้น ก็คงไม่เป็นปัญหากับย้ง ถ้าไม่บังเอิ๊ญ…บังเอิญย้งมีจุดมุ่งหมายที่ต้องทำให้สำเร็จภายใน 7 วัน เพื่อไปแต่งงานกับ พิม( โบว์- เบญจวรรณ อาร์ตเนอร์) สาวสวยรวยเสน่ห์ที่ต้องการความอบอุ่นจากใครซักคนสำคัญมากแถมยังขัดกับคำสาบานที่ให้ไว้กับเตี่ย แต่ย้งต้องทำ

จนแล้วจนรอดเวลาจวนเจียนจะหมด ย้งก็ยังหาหนทางไม่ได้

ท่ามกลางความมืดมนที่ดูเหมือนไม่มีทางออก เพราะดันไปสาบานกับเตี่ยไว้ว่า ห้ามเลิกกับเง็ก

แต่ฟ้าก็ยังเห็นใจ จึงส่ง “เล้ง” (สมเล็ก ศักดิกุล) ผู้ที่ชอบสวมวิญญาณเป็นโกวเล้ง และด้วยความเป็นกูรูในเรื่องเมียของเล้ง เขาจึงร่วมด้วยช่วยกันกับย้งอย่างเต็มที่ เพราะว่าเล้งนั้นเป็นคนกลัวเมียมาก การช่วยย้งจึงเป็นการระบายในสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันทำได้

และย้งก็เริ่มปฎิบัติการกลบความผิด ตัดทอนความรัก เพื่อเฉลี่ยความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง จะเป็นอย่างไรเมื่อมีการร่วมมือวางกลยุทธ์เอาความงมงาย และการเชื่อเรื่องโชคลางของคนรัก มาคิดเป็นหนทางกำจัดเธอ

ทีมงานสร้าง : ดราม่า-โรแมนติก-คอเมดี้ (แนวภาพยนตร์) / บริษัท เอ.จี.เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย) / บริษัท ไว-ไฟ จำกัด (ผู้ผลิตและสร้างสรรค์) / สมศักดิ์ ทรงธรรมากุล (อำนวยการสร้าง) / สมศักดิ์ ทรงธรรมากุล (ควบคุมการสร้าง) / สุรวดี ทิพยมงคล(ดูแลการผลิต) / ต่อพงศ์ ตันกำแหง (ผู้กำกับภาพยนตร์) / วิฑูร ตั้งธนาพงศ์ วรายุ วนาธรรม ต่อพงศ์ ตันกำแหง (บทภาพยนตร์) / อาร์ต ศรีทองกูล (กำกับภาพ) / สิริปปกรณ์ วงศ์จริยวัตร (กำกับศิลป์) / สมิทธิ์ ทิมสวัสดิ์ (ลำดับภาพ) / นรินทร ณ บางช้าง (ดนตรีประกอบ) / ตรัย ภูมิรัตน (เพลงประกอบ) / ชัชวาล สกลศิลป์ (ออกแบบเครื่องแต่งกาย) / นพพร พลอยบ้านแพ้ว (แต่งหน้า) / ชลิต เกษมกิจกุลราช (ทำผม) / อรชุมา ยุทธวงศ์ (ฝึกสอนนักแสดง) / โรจน์รวี สุวรรณธนะเวช, โชคชัย แซ่ฉั่ว, พสธร เกิดเนตร, อมเรศ ประพันธุ์เทวา AG TEAM (โปรโมทและดีไซน์มีเดีย)

นำแสดงโดย : สมพล ปิยะพงศ์สิริ , สุวัจนี ไชยมุสิก , เบญจวรรณ อาร์ตเนอร์ , ปริญญา รุ่นประพันธ์ , สินีนาฏ โพธิเวส , สมเล็ก ศักดิกุล , จตุพล ชมพูนิช , โซเฟีย ลา

นักแสดง:

สมพล ปิยะพงศ์สิริ .... ย้ง 

สุวัจนี ไชยมุสิก .... เง็ก 

เบญจวรรณ อาร์ตเนอร์ .... พิม 

ปริญญา รุ่นประพันธ์ .... เฮียหลี 

สินีนาฎ โพธิเวส .... โซ่วเหมี่ยว 

สมเล็ก ศักดิกุล .... เล้ง 

จตุพล ชมพูนิช .... จ่าขนุน 

โซเฟีย ลา .... กานดา 

สัตตกมล วรกุล .... ผู้ประกาศข่าว 

ปาณิสรา พิมพ์ปรุ .... ผู้สื่อข่าว 

วิศัลยา สาดรพันธุ์ .... แม่เนียม 

เซน บรรพต .... ใหม่ 

ทรงเกียรติ บัวสวรรค์ .... องอาจ 

ไพบูลย์ อนันต์สุวรรณ .... เตี่ยเง็ก 

ณัฐชลิดา นรัตน์กุล .... แม่เง็ก 

จินดารักษ์ สัจจะเทพาพร .... เตี่ยย้ง 

สุรีย์ ช.วิวัฒน์ .... แม่ย้ง 

สุรินทร์ ปฐมสุนทรชัย .... หัวหน้าแผนก 


วันที่เข้าฉาย: 1 มีนาคม 2550

คาแรคเตอร์

ดวงชะตาฟ้ากำหนด

“อาย้ง” – หนุ่มใหญ่หน้าธรรมดาครอบครัวเป็นคหบดีจีนเก่า แต่ปัจจุบันยากจนเสื่อมถอยลงตามกาลเวลา ย้งมีอาชีพเป็นเซลล์แมน มีรายได้เป็นเดือนๆไป ด้วยลักษณะอาชีพทำให้ย้งมีลักษณะของความเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงชั้นเซียน เพราะถ้าเจ้าเล่ห์ขั้นเซียน ป่านนี้ย้งคงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานไปมากกว่านี้แล้ว

สุขภาพของย้งไม่ค่อยแข็งแรงนัก ด้วยอายุ และการที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ทำให้ย้งป่วยง่ายต้องอาศัยยากินอยู่เสมอ ข้อดีอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือย้งยึดมั่นต่อการนับถือบรรพบุรุษของลูกหลานจีนมาก ลักษณะของย้งเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เห็นได้ในสังคมทั่วไป ที่ชอบตักตวงความสุขใส่ตัว โดยพยายามมองข้ามความทุกข์หรือความ เป็นจริงไป ให้ความสนใจกับสิ่งที่สัมผัส เห็นและจับต้องได้มากกว่าสนใจสิ่งเล็กๆ น้อยๆที่ซ่อนอยู่ภายใน

“เง็ก” – ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกคลุมถุงชนเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านของย้ง แต่ด้วยหน้าตาที่น่ารักสดใสตามวัยสาว ทำให้ย้งยอมรับได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เง็กเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นเมียหลวงโดยสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นไฝเสน่ห์ริมฝีปากที่โตขึ้นอย่างมากมายจนกลายเป็นไฝปลาร้า หน้าตาที่ไม่เคยตกแต่งให้ดูดีเพราะวัน ๆ ต้องมัวแต่ยุ่งกับการดูแลบ้านและนึ่งขนมจุ่ยก้วยขายเพื่อเป็นเงินช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน รวมถึงนิสัยขี้บ่น จู้จี้จุกจิก น่ารำคาญ แต่ใครจะรู้บ้างว่าภายใต้นิสัยที่น่ารำคาญเหล่านั้น เง็กมีความผูกพันกับย้งอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ในฐานะผู้ชายคนแรกในชีวิต เง็กไม่รู้หรอกว่าความโรแมนติกคืออะไร ลูกสาวในครอบครัวจีนสมัยเก่าอย่างเง็กไม่ได้เรียนสูงมากมาย เง็กไม่รู้รอกว่า ทุกอย่างที่เง็กทำมาตลอด 7 ปีนั้นทำให้ย้งเบื่อ เง็กแค่รู้ว่าเง็กมีหน้าที่ ที่จะต้องดูแลและจัดการทุกอย่างในชีวิตของย้ง

“พิม” – พิมเป็นผู้หญิงในแบบที่ผู้ชายต่างฝันถึง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตาที่ปั่นป่วนชวนให้อารมณ์กระเจิดกระเจิงได้ตลอดเวลา พิมเป็นเซลล์แมนที่ทำงานอยู่ในที่ทำ านเดียวกันกับย้ง แต่ด้วยความสามารถบวกกับหน้าตา ทำให้พิมมีรายได้จากยอด ขายสูงลิ่วกว่าทุกคนเรียกได้ว่าเป็นนักขายดาวรุ่งเลยทีเดียว จุดอ่อนของพิมคือการเป็นผู้หญิงที่ขาดความอบอุ่น เพราะกำพร้าทั้งพ่อและแม่ ไม่มีญาติหรือพี่น้อง พิมมักจะบอกตัวเองเสมอว่า เรื่องความรัก เป็นเรื่องของหัวใจคน ๆ หนึ่งมีสิทธิ์ที่จะรักใครก็ได้ และมีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับชีวิตของตัวเอง

“เฮียหลี” – หนุ่มนักธุรกิจ เฮียหลีจัดว่าเป็นจีนรุ่นใหม่ที่มีฐานะดี การศึกษาดี พ่อแม่ของเฮียหลี แม้ไม่ได้รับการศึกษาสูงมาก แต่ก็ประสบความสำเร็จด้านการค้า และผลักดันลูกชายคนเดียวให้เรียนสูงที่สุด เพื่อที่จะกลับมาดูแลธุรกิจของครอบครัว น่าเสียดายที่เตี่ยของเฮียหลีต้องจากไปเสียก่อน ที่จะเห็นความสำเร็จของลูกชาย เฮียหลีประทับใจในความเก่งของพิม เขารู้สึกว่าผู้หญิงอย่างพิมคือผู้หญิงสมัยใหม่ที่มีความพร้อมทั้งการงาน รวมไปถึงรูปร่างหน้าตา

“โซ่วเหมี่ยว” – พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่ดูแลย้งมาตั้งแต่ยังเด็ก มีอาการหูตึงรวมทั้งหลง ๆ ลืม ๆ อยู่เรื่อยตามประสาคนแก่ โซ่วเหมี่ยวมีชื่อเดิมว่าเหมียว เป็นเด็กอีสานที่พ่อของย้งเอามาเลี้ยงไว้ในบ้านตั้งแต่ยังเด็ก อยู่นานเลยเผลอคิดว่าตัวเองเป็นคนจีน โซ่วเหมี่ยวมักจะทำตัวเป็นผู้เข้มงวดกับขนบธรรมเนียมจีนโบราณทั้ง ๆ ที่บางทีตัวเองก็รู้แบบผิด ๆ ถูก ๆ และมักจะภูมิใจกับอดีตที่รุ่งเรืองของครอบครัวย้งทั้งที่มันผ่านไปนามนมแล้ว

“จ่าขนุน” – ตำรวจจราจรคู่ปรับบนท้องถนนของย้ง จ่าขนุนเป็นตำรวจที่เคร่งครัดซื่อตรง จับอย่างไม่ไว้หน้าถ้าทำผิด จ่าขนุนมองย้งด้วยความรู้สึกในใจว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น เห็นแก่ตัว มักง่ายซึ่งจ่าไม่ชอบเลย เพราะฉะนั้นในเวลาที่ย้งทำผิดกฎจราจร จ่าขนุนจะต้องอบรมนานเป็นพิเศษก่อนที่จะปล่อยตัวไป ในอดีตก่อนมาเป็นตำรวจ จ่าขนุนบวชเณรมาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยชีวิตที่ผันผวนทำให้ต้องลาบวชมาร่ำเรียนทางโลก แต่ก็ยังตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับไปบวชอีก เมื่อพ้นจากราชการไปแล้ว

“สมเล็ก” – ขาเหล้ารุ่นใหญ่ที่ชอบสิงสถิตย์อยู่ที่ร้านเหล้าและชอบสวมวิญญาณเป็นโกวเล้ง สมเล็กกลายมาเป็นเพื่อนคู่คิดของย้งในวันที่เครียดจัดและย้งต้องหาทางออกที่จะเลิกกับเมีย สมเล็กยอมเข้าไปมีส่วนร่วมในแผนอย่างเต็มใจ เพราะว่าสมเล็กเป็นคนกลัวเมียมาก การช่วยย้งจึงเป็นการระบายในสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันทำได้

นักแสดง

นกน้อยค่อยก่อรังฉันใด ความรักค่อยสานสายใยฉันนั้น

… เพื่อให้ได้การแสดงที่สมบูรณ์และเข้าขากันเป็นอย่างดี 4 นักแสดงนำ จากภาพยนตร์ “ยังไงก็รัก” (7 Days to Leave My Wife) ทั้ง ไก่-สมพล ปิยะพงศ์สิริ, กิ๊ก-สุวัจนี ไชยมุสิก พร้อม 2 น้องใหม่ โบว์-เบญจวรรณ อาร์ตเนอร์ และ แจ็ค-ปริญญา รุ่นประพันธ์ ก็พร้อมใจไปเรียนการแสดงกับแอคติ้งโค้ชมือหนึ่งของเมืองไทย ครูแอ๋ว-อรชุมา ยุทธวงศ์ ตามใบสั่งของผู้กำกับ ต่อพงศ์ ตันกำแหง ก่อนเปิดกล้องถ่ายทำ โดยมีบอสใจดี สมศักดิ์ ทรงธรรมากุล จากค่ายเอ.จี.เอนเตอร์เทนเม้นท์ ควักกระเป๋าจ่ายให้ไม่อั้นเพื่องานคุณภาพแผนเรียนการแสดงเป็นหมู่คณะมาจากนโยบายสร้างงานคุณภาพของ บอสสมศักดิ์ ที่ให้นักแสดงทุกคนในภาพยนตร์ “ยังไงก็รัก” ได้เรียนการแสดงกับครูแอ๋ว อรชุมา ตั้งแต่ ดีเจ.ไก่ สมพล ที่ห่างหายจากการแสดงไปกว่า 10 ปี หรือนักแสดงมืออาชีพอย่าง กิ๊ก สุวัจนี และเพื่อให้งานออกมามีความสมบูรณ์แบบ ทั้งหมดจึงเต็มใจเรียนการแสดงแบบเข้มข้นไม่เกี่ยงประสบการณ์ พร้อมนักแสดงหน้าใหม่เป็นเวลากว่า 3 เดือนก่อนการเปิดกล้อง

…กิ๊ก-สุวัจนี ไชยมุสิก พูดถึงการไปเรียนทางการแสดงเพิ่มเติมในครั้งนี้ว่า “กิ๊กทำงานมานานก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องจะต้องไปเรียนการแสดงมาก่อน เพราะรู้สึกว่าเราได้ทำงานอยู่ทุกวัน แต่ตอนที่ทีมงานบอกว่าจะให้ทุกคนไปเรียนก็ไม่ได้เกี่ยงอะไร ไม่ได้คิดว่าเรามีประสบการณ์หรือเก่งกาจมาจากไหน และก็รู้สึกว่าดีจริง ๆ ที่มีเรียนการแสดงทำให้รู้เลยว่าถึงเราจะแสดงละครมานาน แต่ก็ยังมีเรื่องอีกมากที่เราต้องเรียนรู้ จะว่าไปก็เหมือนเราเพิ่งเข้าวงการเพราะ ‘ยังไงก็รัก’ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของกิ๊ก เป็นความถนัดคนละอย่างกับที่เราเคยทำมา แล้วครูแอ๋วไม่ได้สอนเฉพาะการแสดงเท่านั้น อีกอย่างครูแอ๋วก็เป็นแอ็คติ้งโค้ชแถวหน้าของเมืองไทยมีโอกาสขนาดนี้ต้องเรียน ไม่อย่างนั้นเสียดายแย่เลย”

…ทางด้านไก่-สมพล ปิยะพงศ์สิริ เปิดเผยถึงที่มาของการกลับมาแสดงภาพยนตร์ในรอบ 10 ปี “ตอนแรกที่ติดต่อมาเขาบอกเล่นเป็นพระเอกนะ ก็รู้สึกว่าต้องเป็นหนังที่ไม่ธรรมดาแน่ให้สมพล ปิยะพงศ์สิริ เป็นพระเอกเนี่ยนะ พอได้อ่านเรื่องย่อ รู้องค์ประกอบทั้งหมดก็คิดว่าน่าสนใจ แต่ต้องขอคิดหน่อยเพราะไม่ได้เล่นหนังมานานตั้งแต่ สติแตก สุดขั้วโลก ของ พจน์ อานนท์ ตอนนั้นก็เป็น 10 ปีแล้ว ด้วยความที่เราต้องจัดรายการทุกวัน มีงานพิธีกรด้วย งานหนังต้องใช้เวลาซึ่งพอจัดสรรลงตัวก็อยากหาอะไรสนุก ๆ ทำ พอมีเรื่องนี้ติดต่อเข้ามาก็เป็นจังหวะที่ดีสำหรับผมด้วยใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน อย่างที่บอกว่ามีเรื่องขององค์ประกอบเกี่ยวกับบท นักแสดง และทีมงานของพี่ต่อพงศ์ ตันกำแหง ผู้กำกับก็เคยร่วมงานกันมาในรายการเซียนโอเกะแล้ว เห็นศักยภาพการทำงานของทีมนี้แล้วว่าเป็นระบบมาก ยิ่งพอถามว่าต้องการนำเสนออะไร เขาก็บอกว่าไม่ใช่หนังที่หัวเราะฮะฮะฮะ คือเป็นหนังแนวคอเมดี้โรแมนติกที่เราไม่ต้องแสดงอะไรบ้า ๆ บอ ๆ เอาแค่น่ารัก ๆ กรุ้มกริ่มฟังแล้วน่าสนใจทีเดียว ผมอยากเล่นคอเมดี้ ไม่ใช้ตลกโวยวายเรื่องนี้ก็เป็นอย่างที่คิดเลย ขำไปตามบทไม่ต้องมาทำหน้าแปลก ๆ ผมไม่ค่อยชอบ เพราะปกติคาแรคเตอร์เราก็เป็นคนขำ ๆ ฮา ๆ อยู่แล้ว ถ้าได้แสดงหนังก็น่าจะเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปเวลาเห็นผมในทีวีจะเป็นการ์ตูนมีสีสัน ถ้าคนมาเห็นในหนังก็อยากจะให้เขาได้เห็นความแตกต่าง ตลกแบบนิ่ง ๆ น่ารัก ตลกแบบมีไอเดีย ผมชอบบทนี้มาก เรื่องนี้มันขำๆแต่ไม่ใช่แบบตลกคาเฟ่ จะเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ในเวลาปกติเขาจะมองไม่เห็นความรักที่ผู้หญิงคนหนึ่งมอบให้ ก็อยากให้คนที่มาดูเรื่องนี้ได้เห็นเหมือนกับเราคือ อย่ามองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา”

…กับการประกบนางเอกสองคน “จริง ๆ แล้วรู้สึกแปลก ๆ นะครับประกบ 2 นางเอก 2 คาแร็คเตอร์ คนหนึ่งไม่ต้องพูดถึง ฝีไม้ลายมือการแสดงระดับอาจารย์เรียกพี่เลยครับ ถึงแม้ว่าเธอจะห่างหายจากการแสดงไปนาน แต่ฝีมือ และคุณภาพไม่เคยตกเลยครับ แต่ทว่า…ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวมาก ๆ ไฝเบ้อเร่อเลย คุณกิ๊ก สุวัจนี ครับ ในเรื่องดูจากหน้าตา ดูจากไฝแล้วนะ…บรื๋อ! ขนลุกครับ…แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เสี่ยงก็ต้องเสี่ยงครับ ต้องคอยระวังตัวแบบสุด ๆ จะหลุดขำอะไรมั้ย ซึ่งวันที่เข้าฉากกับกิ๊กครั้งแรก ก็หลุดกันไปเยอะมากครับฮากันน้ำตาเล็ดน้ำตาไหลประมาณ 10 กว่าเทคได้ครับท่าน กว่าจะผ่านไปได้ก็สมบุกสมบันพอสมควรทีเดียว กิ๊กเค้าทุ่มเทกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ ครับ ถือเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของการทำงานครับ

อีกคนสวยเซ็กซี่เลย น้องโบว์ เบญจวรรณ อาร์ตเนอร์ นางเอกใหม่สาวสวยมาก ๆ วัย 20ปี ลูกครึ่งไทย–เยอรมัน แต่พูดไทยได้ชัดแจ๋วตัวจริงน้องเค้าไม่ได้ดูเป็นสาวเซ็กซี่เลย ดูเป็นคนน่ารักมากกว่า เจอครั้งแรกก็รู้สึกว่า เออ…เด็กคนนี้ถูกชะตาดี น่าจะร่วมงานกันได้อย่างสบายใจ ซึ่งก็เป็นอย่างงั้นจริง ๆ ครับซึ่งพอได้ร่วมงานกันแล้ว น้องเค้าน่ารักอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ครับ อัธยาศัยดีด้านฝีมือการแสดงก็ถือว่าเป็นดารานักแสดงใหม่ที่ฝีมือไม่ใช่เล่นเลย นี่ขนาดเป็นเรื่องแรกของเค้า แถมบทแบบว่ายากมาก ๆ อีกต่างหาก แต่น้องเค้าก็ทำได้ดีเลยทีเดียวครับ”

รีวิว

ยังไงก็รัก : คู่ที่ใช่ ไม่ได้มีกับทุกคน
เขียนโดย Obelisk
อังคาร, 27 กุมภาพันธ์ 2007

ชื่อของ “ความรัก” ที่อยู่กินกันมากว่า 7 ปี ของ ย้ง (ไก่ สมพล) และ เง็ก (กิ๊ก สุวัจนี) มาถึงวันนี้อาจแปรสภาพของ “ความหมายแห่งรัก” ที่เปลี่ยนไป

อาการแรกเริ่มของการตกอยู่ในห้วงความรักมาจางหายไป พร้อม ๆ กับทรวดทรงองค์เอวของเง็กที่เผละผิดรูป เมื่อการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมายาวนาน จนไม่มีพื้นที่อะไรที่จะต้องกระมิดกระเมี้ยมปิดเม้มไว้ให้ชีวิตส่วนตัวได้อาศัยอย่างโดดเดี่ยว

เง็กเป็นผู้หญิง เป็นเมีย เป็นแม่บ้านคนหนึ่งที่ตื่นเช้า ทำกับข้าว ทำงานบ้าน ทำหน้าที่แม่ศรีเรือนดูแลสามี วนเวียนซ้ำเดิมทุกเช้าค่ำ

ในขณะที่ย้งคือผู้ควรทำหน้าที่สามีดี ๆ ทดแทนแลกเปลี่ยนกันและกันอย่างเท่าเทียม

แต่ไม่ใช่

ความรักของคนสองคน มีเพลี่ยงพล้ำพลาดเผลอคิดนอกใจ ไฉเฉเถลไถลไปทางอื่นบ้าง ก็ผิดอยู่แค่ในกมลสันดาน

แต่แน่นอนว่าเพศผู้ซึ่งมีฮอร์โมนหิริโอตัปปะต่ำ ผู้ชายอย่างย้งจึงเป็นได้มากกว่านั้น มากกว่าแค่อาการเผลอชั่วชั่ววูบ

ย้งแอบแบ่งชีวิตบางส่วน ยกหัวใจให้ผู้หญิงสวยสะคราญอย่าง พิม (เบญจวรรณ อาร์ตเนอร์) สารรูปชัด ๆ ว่าเป็นพวกขี้แพ้ตลอดกาลทั้งหมดของย้ง ทำให้เราแย้งว่า แม่ง! ผู้หญิงสวยโคตรขนาดนั้น จะมาตาบอดเลือกเขาได้ยังไง

พิมตอบกลับมาด้วยเหตุผลบทหนังเนียน ๆ นิ่ง ๆ “ความรักไม่มีเหตุผลไม่ใช่เหรอ”

ไม่มีเหตุผลที่จะรัก เหมือนนางงามเลือกนักเทนนิส เหมือนดอกฟ้าโน้มลงมาให้หมาวัดดมเล่น ฉันใดก็ฉันนั้น เช่นฉันรักพี่คนนั้น หึหึหึ

เมื่อพิมใช้ข้อต่อรองว่า มีทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อให้การแอบหลบซ่อนความรักของเธอกับย้งจบลงแล้วออกมาอยู่ที่สว่าง

เธอจึงยื่นข้อเสนอให้เขาตัดสินใจเลือก ให้เขามี “เธอ” ไว้โดยลบ “เง็ก” ออกไป หรือให้เธอจากไปตลอดกาล

แน่นอนว่า ย้งเลือกพิมโดยไม่ต้องใช้ “สมอง” คิด และพยายามใช้เวลาอีก “7 วันที่เหลือ” เพื่อบอกลา “7 ปีของเขาและเง็ก”

สมพลอาจจะเป็นจุดพร่องบางประการในหนัง ในสายตาฉัน แต่ฉันก็พอหยวน ๆ อาการนั้นลงไปได้

สะมะพลก็คือไก่ สะมะพลอย่างออริจินัล ฉากเปิดเรื่องแค่ทำหน้าทะเล้น หื่นกาม จมูกกาง ก็ไม่ผ่านละ

โชคดีที่บทหนังส่วนอื่นทำหน้าที่ทับถม “ความเป็นสมพล” จนแทบมิด

บทหนังเพิ่มการทำงานของหนังไปในทางคล้าย ๆ ที่ “แสบสนิทฯ” เคยทำไว้ได้

แต่ค่ะแต่ ย้ำว่าคล้าย ๆ แต่ไม่ใช่ดีได้ใจขนาดนั้น

หนังมีดราม่าแทรกอยู่ในเนื้อหนังของตลก บางช่วง บางตอน ดึงดันให้หนังมีทิศทางเหมือนที่คนควรจะมีอาการเป็นกัน

บทตลกอาจไม่มีฮาแตกอย่าง “แสบสนิทฯ” แต่ก็ไม่ฝืดเฝือจนกร่อยอารมณ์

กิ๊ก สุวัจนี ในฉากที่นั่งร้องไห้-ชั้นอยากมีทุกวันที่ตื่นขึ้นมาเจอเค้า-ทำเอาเราสะอึกสะเทือนใจเล็ก ๆ กับประโยคต่อมาว่า “ย้งเค้าเหนื่อยเพื่อครอบครัว ฉันเข้าใจ” ทั้งที่ไอ้คนที่เธอพูดถึงมันเหนื่อยเพื่ออย่างอื่น

ฉากเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใน “ความรัก” เมื่อพ่อของเง็กนั่งลงซ่อม “รองเท้าคู่เก่า” ที่ใส่มานานแล้ว มันสึกหรอ ผุกร่อนตามกาลเวลา แต่บางที “คู่ที่ใช่-คนที่ใช่” มัน “ไม่ได้มี” กับทุกคน “ไม่ได้ใช่” กับทุกคน

“การรักษาเยียวยาฟื้นฟู” เพื่อให้ “เดินต่อไปด้วยกัน” ได้ มีความหมายมากกว่า “ถอดใจทิ้งขว้าง” พร้อมกระโจนโดดไปเริ่มกับ “สิ่งใหม่” ตลอดเวลา

“ความรัก” อาจจะไม่ใช่แค่ “วันแรก” ที่ฉันสบตาเธอแล้วหวั่นไหว จดจำมาถึง “วันนี้”

แต่มันอาจจะคือ “7 ปีแห่งคืนวัน” ที่ไม่มีอะไรพิเศษเลย

เพียงแค่มี “เธอกับฉัน” เท่านั้น

“บทสุดท้ายของความรัก” ในหนัง ลงเอยได้ด้วย “การเดินทางมาของบทดี ๆ” เรื่องหนึ่ง

สุดท้ายจริง ๆ ของ “ความรัก” ทั้งในหนังและนอกจอหนัง สิ่งที่เง็กอาจจะไม่เคยได้รับรู้ ถ้าเง็กรู้ เธอยังพร้อมจะ”ซ่อมแซมรองเท้าส้นตีน” อย่างย้งไหม

ลงเอยก็มายก “ตำแหน่งตราบาป” ให้ “เพศชาย” เมื่อสาระในหนังให้จดจ้องเห็นว่า “ผู้ชาย” อย่างย้งหรืออาจจะผู้ชายทั้งโลก ใช้ “เครื่องเพศ” พูดคำว่า “รัก” เมื่อ “ผู้หญิง” มีครบ “องค์ประกอบสรีระทางเพศ” ที่จะสนอง

วันหนึ่งเง็กก็เคยมีรูปกายนั้น แต่อีกวันเมื่อผ่านเวลา เธอเปลี่ยนรูปเขาจึงหมดรัก?

เอามาเปรียบเทียบ “น้ำหนักกิโลกรัมความรักของย้งและเง็ก” เง็กบอกผ่าน “ความรักที่เธอมี” ด้วยการวิ่งแบกหุ่นฟางอย่างไม่ยอมหยุด เป็นระยะทางยาวไกล แสนเหนื่อย แลกกับคำว่า “บ้าเพี้ยน” หรือเปล่าเธอ

ในขณะที่ย้งบอกถึงความรักที่เขามีความรู้สึกกับพิมได้ดีที่สุดก็แค่สิ่งของไม่กี่ชิ้น น่าหัวเราะเยาะ

สะกิดแทงใจดำตะหงิด ๆ ที่เง็กทำเพื่อเขาขนาดนั้น

ไม่น่าแปลกที่เราจะเห็น “ผู้หญิง” แบกบูชาความรักไว้เหนือสิ่งใด ขณะที่ “ผู้ชาย” เทิดทูนความรักไว้ต่ำกว่าสะดือ

สวัสดีวันสตรีสากลโลก-8 มีนาคม ด้วยภาพยนตร์ “ยังไงก็รัก”1 มีนาคมนี้ค่ะ

Share this article :

แสดงความคิดเห็น